หนังสือถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน นับแต่มีการบันทึกเรื่องราวเกิดขึ้น ในโลกยุคปัจจุบัน ก็มีงานมหกรรมเทศกาลหนังสือกันทั่วโลก แม้แต่ประเทศไทย ก็มีมหกรรมนี้อยู่คู่กับสังคมมานานหลายสิบปี จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักอ่าน ที่จะต้องไปเหยียบและเลือกซื้อกันทุกปี แม้จะหนาแน่น พลุกพล่านไปด้วยผู้คน อีกทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนกับนักอ่าน หรือแม้กระทั่งการพบรักผ่านหนังสือ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะสถานที่อย่างศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่เป็นสถานที่ประจำในการจัดงานมานานถึง 23 ปี แต่ก็ต้องยุติลงใน งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 47 เมื่อช่วงต้นปี 2562 เพื่อปิดปรับปรุงสถานที่แห่งนี้ถึง 3 ปี และโยกย้ายไปจัดที่เมืองทองธานีแทน“ผมมางานหนังสือครั้งแรกตอนอายุ 22 ปีที่ศูนย์สิริกิติ์ ได้ยินมานาน แต่ก็มาตอนอายุเลขสองเพราะว่าผู้หญิงที่จีบอยู่เขาเป็นนักอ่าน เขาอยากมาที่นี่ ผมก็ต้องตามมาด้วยเพื่อเรียนรู้ชีวิตเขา แต่เชื่อมั้ยว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่วันนั้นผมกลายเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ต้องมาทุกปี ส่วนผู้หญิงคนนั้น ผมก็เลิกกับเขาไปเกือบสิบปีแล้ว ตอนนี้อายุจะ 32 แล้ว ก็ยังมางานอยู่ บ้านอยู่ปทุมธานี แม้จะย้ายมาจัดที่เมืองทองธานีก็ต้องมา เพราะซื้อทีหนึ่งซื้อไม่ต่ำกว่าสามพันบาท ยิ่งช่วงนี้หันมาหาอ่านงานวรรณกรรมคลาสสิก ก็ต้องมาที่งานเท่านั้น ถึงจะได้ราคาถูก การได้อ่านเหมือนได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เสมอน่ะครับ”นักอ่านชายผู้หนึ่งเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์เกี่ยวกับความผูกพันธ์ต่องานหนังสือที่จัดสองครั้งต่อปี ที่ดูแล้วชายคนนี้จะเป็นนักอ่านตัวจริง เมื่อได้เห็นหนังสือจำนวนมากในถุงผ้าที่เขาสะพายอยู่ อีกทั้งดูจะเป็นโชคดีสำหรับเขาที่ปทุมธานีกับนนทบุรี ไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก และความเคยชินก็ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าไกลเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับการที่เขาต้องเดินทางไปยังศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่ตั้งอยู่กรุงเทพฯ ชั้นใน“มันก็กว้างขึ้นนะพี่ รู้สึกว่าเดินหาบูธง่าย มันอาจจะเป็นเพราะอยู่ในระนาบเดียวกันหมด ผังร้านก็เป็นสี่เหลี่ยม ต่างกับที่ศูนย์สิริกิติ์ บางบูธอยู่ชั้นบน อีกบูธอยู่ชั้นล่าง อีกบูธอยู่ในฮอลล์ใหญ่ จะเดินทีก็เหมือนเดินออกกำลังกายเลย มาที่นี่หาง่ายกว่า แต่ปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ค่อยโอเค คือบ้านอยู่ห้วยขวาง มาเมืองทองธานี ไม่มีรถไฟฟ้า ต้องใช้รถเท่านั้น รถติดด้วย ก็ลำบากหน่อย แต่ไม่ค่อยเครียดมาก เพราะสุดท้ายเรามาที่นี่ เราก็ได้หนังสือที่ต้องการกลับไป แม้จะเหนื่อยหน่อย”นักอ่านหญิงคนหนึ่งเล่าถึงการเดินทางมายังเมืองทองธานีเพื่อการซื้อหนังสือที่ดูจะลำบากสำหรับเธอ แต่เธอยังดีใจที่ได้บอกว่าเธอมาแล้ว เธอได้หนังสือที่เธอตามหาอ่านอยู่แม้คนส่วนใหญ่จะกล่าวว่าการย้ายมาจัดที่เมืองทองธานีที่กว้างใหญ่กว่า ช่วยให้เดินสบาย เดินหาบูธได้ง่าย ไม่ซับซ้อนจนตาลายเหมือนจัดที่ศูนย์สิริกิตติ์ แต่การเดินทางก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถทำให้สะดวกได้เท่ากับที่ศูนย์สิริกิตติ์ นั่นเป็นเพราะศูนย์สิริกิตติ์มีรถไฟเข้าถึงและสามารถเดินเข้างานได้เลย แต่เมืองทองธานี ต้องเดินทางด้วยรถเท่านั้น เฉพาะรถเมล์โดยสารก็ต้องประสบปัญหารถติดตรงเส้นแจ้งวัฒนะที่กำลังปักเสาทำรถไฟฟ้าสายสีชมพู แต่หากขับรถยนต์ส่วนตัวไป ก็ประสบปัญหากับที่จอดรถไม่เพียงพอ ยิ่งวันที่มีอีเวนท์อื่นแทรกเข้ามา ยิ่งทำให้การจราจรในเมืองทองธานีติดขัดหนักขึ้นไปอีกในอดีตแรกเริ่ม งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จัดที่โรงละครแห่งชาติ โดยมีจุดประสงค์เพื่อรณรงค์ให้คนไทยได้เห็นความสำคัญของการอ่านมากขึ้น โดยภายในงานก็มีการขายหนังสือลดราคา มีกิจกรรมต่าง ๆ จนผู้คนให้ความสนใจมากขึ้นและย้ายสถานที่บ่อยครั้ง ทั้งไปที่สวนลุมพินี, หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงเรียนหอวัง, สนามหลวง และมาจัดต่อเนื่องยาวที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จนกระทั่งในปี 2539 ได้มีกำหนดจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง โดยช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน จะใช้ชื่อ “งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ” และช่วงเดือนตุลาคม จะใช้ชื่อ “งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ”และการย้ายมาจัดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 24 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมือทองธานี ในคอนเซ็ปต์งาน ‘หนังสือดี มีชีวิต’ ราวกับบ่งบอกว่าหนังสือทุกเล่มมีการเดินทางของมัน และผู้อ่านก็เหมือนผู้โดยสารที่เข้าไปสู่โลกนั้นแต่แม้จะย้ายมาจัดที่เมืองทองธานี ที่ไกลกว่าเดิม และเดินทางยากมากขึ้น ก็ช่วยหักล้างคำกล่าวว่า ‘คนไทยไม่อ่านหนังสือ’ ไปได้มากโข หากได้สังเกตเส้นทางของงานหนังสือในช่วงสิบปีที่ผ่านมา จะพบเห็นได้ว่าผู้คนที่เข้ามางานหนังสือมีเพิ่มขึ้นเสมอ นักอ่านรุ่นเล็กคนเจนใหม่ก็เกิดขึ้นมากมาย และสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยกระตุ้นวงการหนังสือประเทศไทยให้คึกคักตลอดแม้กองหนังสือที่ยังไม่ได้อ่านในบ้านจะมีมากมาย แต่สำหรับนักอ่านแล้ว การได้เข้าไปสัมผัสหนังสือ หรือแม้แต่การได้เข้าไปพบเจอกับนักเขียนที่ชื่นชอบแบบตัวเป็น ๆ ก็ยิ่งทำให้เกิดภาพน่ารัก ๆ และก่อเกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักเขียน นักอ่าน และทำให้สำนักพิมพ์ผลิตผลงานออกสู่สังคมมากขึ้น และเชื่อว่าการที่ผู้คนมีการอ่านมากเท่าไหร่ ความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาด้านต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้น และงานหนังสือเหล่านี้ ก็จะยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยไปอีกนาน