HIGHLIGHT - ฆามก์ สิปปสยาม เรียนจบปริญญาตรีด้านงานโฆษณา และเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (ชาย) - เริ่มต้นจากนักท่องเที่ยวที่หลงใหลเสน่ของเกาะเกร็ด จนมีความคิดอยากสร้างแหล่งเรียนรู้ในที่แห่งนี้ในชื่อบ้านศิลป์สยาม ภายใตจุดมุ่งหมายสำคัญคือ เผยแพร่ อนุรักษ์ เลี้ยงชีพ - ผลงานของอาจารย์เป็นผลิตภัณฑ์ทุนทางวัฒนธรรมตัวแทนจังหวัดนนทบุรี ประจำปี 2562 และปี 2563 จากวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทยตามกระแสโลกาภิวัตน์ ศิลปะแบบไทย ที่ควรจะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ได้กลับกลายเป็นสิ่งที่ประจำการอยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น และหนึ่งในสถานที่นั้นก็คือ ‘เกาะเกร็ด’ สถานที่เลืองชื่อในเรื่องเครื่องปั้นดินเผาและวัดงามตามคำขวัญเมืองนนทบุรี แต่ถ้าหากเดินลึกเข้ามาทางด้านซ้ายจากท่าเรือข้ามฟาก เชื่อว่าหัว ‘หนุมาน’ ขนาดใหญ่เท่าบ้านสองชั้นจะต้องชักชวนให้ผู้ที่พบเจออยากเข้าไปเยี่ยมชมเป็นแน่ ตัวบ้านชั้นใต้ถุน และชั้นบนที่อัดแน่นไปด้วยหัวโขนหลายขนาด รวมถึงหุ่นตั้งโชว์ที่แต่งกายด้วยชุดการแสดงโขนไทย ที่ถูกจัดไว้ในท่าทางต่าง ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาถ่ายรูปได้ และบ้านหลังนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘ศิลป์สยาม’ โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังงานฝีมือแบบไทยที่จัดแสดงอยู่นี้ ก็คือ ‘ฑามก์ สิปปสยาม’ ศิษย์เก่าจากโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (ชาย) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่ อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและเลี้ยงชีพ ผ่านการเล่าเรื่องรามเกียรติ์ด้วยงานศิลปะภายในบ้าน รวมถึงยังเป็นผู้สอนงานฝีมือไทยให้กับทุกคนที่สนใจ นอกจากบทบาทตรงนี้ อาจารย์ยังมีความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยภูมิปัญญาแบบไทย ที่การันตีด้วยผลงานการย้อมสีผ้าด้วย ‘ดินเกร็ด’ และ ‘แผ่นกระดาษเกร็ดชวา’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทุนทางวัฒนธรรมตัวแทนจังหวัดนนทบุรี ประจำปี 2562 และล่าสุดในปี 2563 นี่คือบทสัมภาษณ์ของชายที่หลงใหลในศิลปวัฒนธรรมแบบไทย ที่เริ่มต้นจากนักศึกษาโฆษณาสู่นักแสดงโขนและกลายมาเป็นผู้ที่อุทิศชีวิตในช่วงบั้นปลายให้กับการสืบสานวัฒนธรรมแขนงนี้ ซึ่งเราสามารถสัมผัสถึงความตั้งใจในการทำหน้าที่นี้ได้ แม้กระทั่งชื่อของอาจารย์ที่ยังคงความเป็นไทยดั้งเดิม ได้ยินคนแถวนี้เรียกอาจารย์ว่า ครูวุฒิ จริง ๆ อันนั้นเป็นชื่อเก่าครับ แต่ว่าฑามก์ สิปปสยาม คือชื่อใหม่ล่าสุด เพราะเรามีความรู้สึกว่าชื่อก่อนหน้านี้ที่เราใช้อยู่ตั้งแต่สมัยเรียนจนทำงานมันไม่ใช่ตัวตนของเรา เราเลยเปลี่ยนมาใช้ตัวอักษรบาลีสันสกฤตเพื่อให้เรียบง่ายจำง่าย รู้ตัวตอนไหนว่าชอบงานศิลปะแบบไทย ที่เราทำมาทั้งหมดมันเกิดมาจากความชอบตั้งแต่เด็กสมัยที่ยังเรียนประถม ตอนนั้นเรามักจะได้เล่นเป็นตัวลิง (ตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์) ครูก็คงมองว่าเราเป็นเด็กซุกซนด้วย เลยได้เล่นเป็นตัวละครนี้มาตั้งแต่เด็ก และเราก็มีความรู้สึกชอบเกี่ยวกับงานไทย ก็เลยวาดเขียนไทยไปเรื่อย ๆ และมีทำส่งประกวดบ้าง พอจบ ม.6 เราก็ไปสอบเอนทรานซ์เข้าคณะทางจิตรกรรม มัณฑนศิลป์อะไรพวกนี้ ตอนแรกเราได้จิตรกรรมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เรียนไม่จบ ก็เลยตั้งใจมาเอนทรานซ์ใหม่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่ปรากฏว่าไม่ได้ ก็เลยเบนชีวิตมาเรียนนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพแทน ทำไมถึงออกมาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้ง ๆ ที่เป็นการเรียนในสายคณะที่ตัวเองอยากเรียน เผอิญว่าพ่อแม่เขาไม่ชอบหรอก เขาอยากให้เราเรียนสายพาณิชย์ เพราะเราเรียนสายคณิตฯ-ศิลป์มาตลอด แต่เราก็ไปแอบสอบเอนทรานซ์จนติดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียนตอนนั้นเราต้องย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ เขาเป็นห่วงเรา วันดีคืนดีก็เลยตามไปดูเราที่นั้นว่าเรียนเป็นยังไง เขาเห็นการแต่งตัวเราเริ่มเปลี่ยน เริ่มไว้ผมยาวรุ่มร่าม และด้วยความที่เราเป็นลูกคนจีนด้วยเขาก็เลยไม่ชอบ ผนวกกับทางบ้านก็มีธุรกิจของพ่ออยู่แล้วและเขาก็อยากให้เราเป็นคนสานต่อ ก็เลยยอมออกจากตรงนั้นมาเพื่อมาเรียนพาณิชย์ตามความต้องการของที่บ้าน เพื่อเรียนพาณิชย์ในภาคเช้า แต่ในช่วงภาคค่ำเราก็ไปเรียนคณะนิเทศศาสตร์อยู่ดี (หัวเราะ) แสดงว่าชอบทำงานสร้างสรรค์มากกว่า ใช่ เราชอบใช้ความคิดสร้างสรรค์แทนที่จะเป็นตัวเลข เรียนจบเราก็เลยไปทำงานเกี่ยวกับด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่งานที่บ้านตอนนั้นก็ยังทำนะครับ ทำจนจบหน้าที่ของเราแล้วค่อยออกมา พอหลังจากที่เรียนนิเทศาสตร์ช่วงภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพจนจบ เราก็เลยทำงานด้านละครเวทีมาตลอด ก็มีโอกาสได้เป็นนักแสดง เป็นตัวประกอบร่วมกับนักแสดงอาชีพในละครเวที แต่ด้วยความที่เราเป็นคนที่ไม่ชอบท่องจำ การแสดงบุคลิกภาพในแบบที่ต้องฝืนทำก็เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบด้วย ก็เลยไปทำงานเบื้องหลังดูแลพวกระบบฉาก แสง สี เสียงแทน เริ่มเรียนรู้เรื่องโขนอย่างจริงจังตอนไหน ตอนเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เราก็ยังมีความชอบของตัวเองก็คือ เอาเรื่องราววรรณคดีไทยมาทำงาน หรือแม้แต่การออกสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณาต่าง ๆ ก็จะมีลวดลายของความเป็นไทยอยู่ในงานสม่ำเสมอ หลังจากเรียนจบ เราก็ทำงานออการ์ไนซ์ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องการแสดง การจัดแสดงบนเวทีให้ลูกค้า และก็มีการนำเรื่องราวของโขนมาเล่นเพื่อใช้เปิดเป็นโหมโรง เราก็มีความรู้สึกว่าโขนยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่ายังไม่ได้เข้าไปสัมผัสมันจริง ๆ ผนวกกับเราก็ทำงานด้านการแสดงนี้ด้วย เราก็เลยเข้าไปหาครูต้อย จตุพร รัตนวราหะ (ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2552 สาขาศิลปะการแสดง) เพื่อที่จะสอบถามเกี่ยวกับท่าทางของตัวละครที่เราทำขึ้นมาแสดง พอถามไปบ่อย ๆ เข้า ครูต้อยก็เลยบอกให้เราไปลองเล่นด้วยตัวเองเลย เราก็เลยไปเล่นโขนและคลุกคลีอยู่กับการแสดง ในช่วง 10 ปีที่เรียนโขนได้ไปแสดงที่ไหนบ้าง ก็ได้แสดงในโขนราม อย่างเช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหงรับงานมาก็ไปแสดงด้วย เพื่อเป็นการโปรโมทให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเรียนโขน เปิดโอกาสให้คนที่สนใจมาเรียนมาซ้อม มีการแสดงบนเวที เพื่อจะได้ชักชวนให้คนที่สนใจเข้ามาเรียน จุดเริ่มต้นของการมาเป็นช่างหัตถกรรมไทย ด้วยงานประจำที่เราทำจะเกี่ยวกับการจัดแสดงสินค้า ส่วนตอนกลางคืนเราทำงานเกี่ยวกับละครเวที ที่มณเฑียรทอง เราช่วยทำฉากตกแต่งให้มีความเป็นไทย ทำพวกลายกนกก็เลยได้ฝึกฝนจากตรงนั้นด้วย ตอนที่ได้ไปทำงานกับไฟว์สตาร์โปรดักชั่น ก็ไปอยู่ในส่วนของคนดูแลเครื่องแต่งกายนักแสดง เกี่ยวกับงานพวกพร็อพแบบไทยจักร ๆ วงศ์ ๆ ของช่อง 7 สี หลังจากนั้นก็มีครูเห็นว่าเรามีแนวคิด มีฝีมือ เขาก็เลยบอกให้เราไปเรียนในส่วนของงานช่างเลยดีกว่า ซึ่งเป็นโครงการสมเด็จพระเทพฯ นั้นก็คือวิทยาลัยในวังชาย แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนวิทยาลัยในวัง (ชาย) แล้ว ในโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (ชาย) อาจารย์เรียนอยู่แผนกไหน จริง ๆ โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (ชาย) จะแยกออกเป็นช่างหัวโขน ช่างเขียน ช่างปั้น ช่างประดับมุก ช่างลายรดน้ำ และช่างแกะสลักไม้ เราเรียนช่างหัวโขน ช่างหัวโขนและช่างประดับมุก คือจริง ๆ เขาเรียนกันหนึ่งปีต่อหนึ่งแผนก แต่เราชอบงานไทยและมันมีเสน่จึงเรียนหลายปี แต่การเรียนงานช่างฝีมือในวัง วัน ๆ หนึ่งก็ไม่ได้ทำแค่หัวโขนอย่างเดียว ก็จะมีกระบวนการในการทำงานในแผนกนั้น ๆ ครูเขาจะสอนตั้งแต่เริ่มเลย วิธีการปั้นขึ้นหุ่นด้วยดินน้ำมัน การเคี่ยวดินน้ำมัน และก็เอาดินน้ำมันมาปั้นขึ้นรูป หลังจากนั้นก็ต้องทำหุ่นเอง หล่อเอง จนเป็นหุ่นขึ้นมาจากฝีมือของตัวเอง และทำจนจบกระบวนการของแผนกหัวโขน หัวโขนนั้นก็จะเป็นของเราจบภายในหนึ่งปี แต่บางคนก็ไม่สำเร็จครับ เพราะมันมีความยุ่งยากมาก สมัยที่เรียนมันไม่ได้มีของรองรับให้พร้อม อย่างแม่พิมพ์ก็ต้องแกะหินสบู่กันเอง มันก็เลยมีความยุ่งยากมีความซับซ้อน เนื่องจากหัวโขน ก็มีตัวละครหลากหลาย หลังจากนั้นเมื่อจบปีก็ไปเรียนต่อแผนกอื่น ๆ อยู่ 3 ปี และไปศึกษาเรียนรู้งานช่างสิบหมู่ที่กรมศิลป์ศาลายา บ้านศิลป์สยามเป็นมาอย่างไร เดิมทีเราก็อยู่กรุงเทพฯ ย่านรัชดา ทำและสอนการทำหัวโขน การปักชุดโขน คือสอนเกี่ยวกับการทำงานหัตถกรรมไทย ชุดจะเป็นแม่ที่เป็นคนปัก ส่วนเราจะเป็นคนทำหัวโขน เราจะออกงานพร้อมกัน ซึ่งเราก็มีความคิดอยากทำให้ที่บ้านเป็นลักษณะกึ่ง ๆ พิพิธภัณฑ์ เพื่อให้คนเห็นว่าเราทำหัวโขนที่บ้านและก็รับสอน คนที่มาเรียนตอนนั้นก็เยอะ เราก็เลยแบ่งสอนเป็นแผนก ๆ ไป แต่ว่าหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมจนเข้าสู่ ปี 2555 คนเรียนก็เริ่มน้อยลง ตัวบ้านก็ไม่มีชีวิตชีวา มีเรานั่งทำอยู่คนเดียวซึ่งก็ไม่พอเลี้ยงชีพแล้ว และไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเลย เราก็เลยชุกคิดขึ้นมาว่าเราจะทำยังไงต่อ แถมในช่วงปลายปี 2555 งานทำหัวโขนมันขาดความต่อเนื่องด้วยเพราะไม่มีลูกค้าสั่ง และเราก็เป็นคนประเภทอยู่นิ่งไม่ได้ วันหนึ่งมาเที่ยวที่เกาะเกร็ดก็เลยข้ามมา จริง ๆ แล้วช่วงที่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ชอบมาปั่นจักรยานที่เกาะเกร็ดอยู่แล้ว เราก็เลยย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงกลางปี 2556 มาเที่ยวมาเห็นความเงียบความสงบของเกาะเกร็ด มันไม่เหมือนตอนช่วงสมัยเรียน ที่มีความเฟื่องฟู มีความเป็นอยู่แบบโบราณของไทยเชื้อสายมอญ แต่พอกลับมา รอบนี้ อย่างเส้นทางซ้ายมือก็ปิดหมดเลยเป็นที่อยู่อาศัย มีคนเที่ยวก็คือทางฝั่งขวามือซึ่งเป็นตลาด เราอยากทำแหล่งเรียนรู้ก็เลยอยู่ทางฝั่งซ้าย คนน่าจะเจอเราง่าย แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เราเจอก็คือเขามักไม่ให้เช่าตัวบ้าน ซึ่งเราอยากได้บ้านริมน้ำ เขาก็ให้เช่าแค่พื้นที่หน้าบ้านแต่ตัวบ้านเจ้าของเขาจะอยู่เอง เราก็เลยปั่นจักรยานมาเรื่อย ๆ จนมาเจอบ้านหลังนี้ซึ่งปิดร้างอยู่ และพอได้มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ ก็เลยมีความรู้สึกหดหู่ว่าทำไมงานไทยถึงไม่เข้ามาที่นี่บ้าง ด้วยเกาะเกร็ดมีชื่อเสียงเรื่องดินเผาและเป็นคนไทยเชื้อสายมอญทำประหนึ่งที่นี่เป็นแหล่งมีชื่อเสียง มีนักท่องเที่ยวเข้ามาหลากหลาย จึงมีความคิดว่าที่นี่เหมาะ เพราะมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหานักท่องเที่ยวเอง เหมือนเราอยู่ที่บ้าน ใครอยากเรียนก็มาเรียน อย่างบนบ้านเมื่อก่อนก็ไม่มีข้าวของอะไร ใครจะขึ้นมาเรียนข้างบนนี้ก็ได้ แต่ปรากฏว่ามันไม่มีคนมาเรียน เราก็เลยสร้างงานไปเรื่อย ๆ เพื่อให้คนที่มาท่องเที่ยวได้เห็นถึงสิ่งที่เราทำ เพื่อเผยแพร่ อนุรักษ์และจำหน่ายเลี้ยงชีพ จุดเด่นของที่นี่คือ จุดเด่นคือ เราอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่ หมายความว่าชื่อเสียงของเกาะเกร็ดก็คือเครื่องปั้นดินเผา ฉะนั้น เราเอาหัวโขนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติ และเป็นอัตลักษณ์ในการสร้างงานของเรา มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำที่นี่ เรามองว่าไม่มีงบประมาณที่จะไปออกงานตลอด เราจึงต้องสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมา ถ้าเราออกงานบ่อย ๆ ทุกครั้งเงินเราหมดแน่ ทีนี้เมื่อเรามาอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวเองเลย เราก็สร้างงานและทำให้คนเห็น ส่วนนักท่องเที่ยวจะเดินเข้ามาไหม ก็ขึ้นอยู่ที่ขาและใจของเขาว่าเปิดใจขนาดไหน เพราะคนไทยถ้าไม่ช่วยกัน แล้วใครจะช่วย ได้ยินว่าผลงานของอาจารย์เป็นทุนทางวัฒนธรรมด้วย มันคืออะไร ทุนทางวัฒนธรรมก็คือ เมื่อเราอยู่ในท้องถิ่นที่ไหน เราสามารถนำทุนท้องถิ่นที่นั้นมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ทุนทางวัฒนธรรม โครงการนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2561 งานที่ได้คือเครื่องปั้นดินเผาในเกาะเกร็ด ต่อมาในปี 2562 กับ 2563 เป็นของเรา คืองานหมักดินเกร็ดพิมพ์เขียนลายไทย และแผ่นกระดาษเกร็ดชวา ซึ่งเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่ประกวดและเป็นตัวแทนของกระทรวงวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี จริง ๆ แล้วในช่วง 2562 เราส่งงานหัวโขนไปด้วยแต่ทางกระทรวงวัฒนธรรมไม่เลือก เนื่องเพราะเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติที่ทาง UNESCO บันทึกไว้เมื่อ 2561 จึงมีความคิดว่าโขนเป็นศิลปะชั้นสูง เราทำหัวโขนอยู่แล้ว เราจึงนำหัวโขนเข้ามาสอดแทรกในทุนทางวัฒนธรรม โดยมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ก็คือเอาดินมาปั้นทำงาน เพราะดินเกาะเกร็ดเป็นดินดี เผาออกมาแล้วสีสวยพอเอาไปเข้าเตาเผาจะเกิดเป็นสีส้ม แต่ก่อนที่จะเอาไปเผามันก็จะเป็นสีกากีซึ่งเป็นสีของดิน ส่วนน้ำดินเราเอามาทำสีมาหมักดินเกร็ด คือเสื้อที่จำหน่ายโดยใช้เส้นฝ้ายสองเส้นไปหมักดินเกร็ดต่างเวลากัน คือเส้นหนึ่งหมัก 15 วัน อีกเส้นหมักเดือนกว่า แล้วก็นำมาทอด้วยเครื่องก็จะได้เป็นผืนผ้าที่มีสีอ่อนสีเข้มอยู่ในผ้า แล้วนำผ้ามาตัด เป็นเสื้อ แล้วนำมาพิมพ์เขียนลายไทยที่มีตัวเดียวในโลก ตัวนี้ก็คือเป็นชิ้นงานเพื่อส่งประกวดของกระทรวงวัฒนธรรม CPOT (ย่อมาจาก Cultural Product Of Thailand) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทุนทางวัฒนธรรม และที่มีความเกี่ยวโยงเข้ากับงานหัวโขน โดยที่เราเอาเส้นดิ้นที่ใช้ปักชุดโขนละครไปอยู่ในเสื้อ เพื่อให้เป็นเรื่องราวและลวดลายไทยมาอยู่บนเสื้อที่จำหน่าย เราตั้งชื่อดินที่เรานำมาใช้ว่า ‘ดินเกร็ด’ ก็คือมาจากคำว่าเกาะเกร็ด เพื่อให้เกิดมูลค่าของผลิตภัณฑ์ เป็นชื่อใหม่ว่า หมักดินเกร็ดพิมพ์เขียนลายไทย ปีนี้ 2563 เราก็ส่ง CPOT อีก โดยหยิบสวะวัชพืชมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ทุนทางวัฒนธรรม ก็คือผักตบชวา ที่สร้างปัญหาให้กับแม่น้ำหลาย มาทำเป็นแผ่นกระดาษ ‘เกร็ดชวา’ เพื่อนำแผ่นกระดาษเกร็ดชวามาใช้เล่าเรื่องราวงานไทย และมาใช้ติดเป็นโครงสร้างของหัวโขนเป็นกะโหลกซึ่งเป็นโครงหุ่นหัวโขน งานดั้งเดิมที่ทำมาจนถึงทุกวันนี้หัวโขนใช้กระดาษข่อย และมีวิวัฒนาการมาใช้กระดาษสา บางบ้านก็ใช้กระดาษปูน แต่ศิลป์สยามมีเรื่องราวมากกว่านั้น ก็คือนำแผ่นกระดาษเกร็ดชวามาทำ เพื่อให้เป็นเรื่องเล่าขานเฉพาะของหัวโขนเกาะเกร็ด ใบผักตบชวาเรานำมาทำเป็นจานและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ลำต้นของผักตบชวามาผ่าแล้วก็มารีดเป็นเนื้อกระดาษ ใช้แผ่นกระดาษเกร็ดชวามาทำหัวโขนเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของศิลป์สยาม และมีความคิดว่าจะเอาแผ่นกระดาษเกร็ดชวามาทำเป็นแผ่นหนังเพื่อทดแทนมาทำเป็นพวกงานกระเป๋า เคยเหนื่อยหรือท้อบ้างไหมในการทำหน้าที่สืบทอดวัฒนธรรมแขนงนี้ ท้อทุกวันนะ แต่ก็อึดสู้เพราะว่าสิ่งที่เราทำมาทุกวันจนถึงตอนนี้ ก็คือเราต้องการให้ทั้งหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาผู้ประกอบการ อย่างกระทรวงวัฒนธรรมเห็น ซึ่งตอนนี้ก็คือเขาเห็นแล้วนะครับ ส่วนหนึ่งก็คือได้ไปเป็นตัวแทนของจังหวัดนนทบุรี พอเวลามีงานอะไรเข้ามาบ้างก็จะได้ไปออกแสดงโชว์ คนชอบก็ซื้อ ทำให้มีทุนในการสร้างงานต่อไป รู้สึกว่าคนรุ่นใหม่สนใจศิลปะไทยน้อยลงไหม ลายไทยและงานหัวโขนเป็นศิลปะชั้นสูงและเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย การจับต้องค่อนข้างยาก มีแค่กลุ่มเดียว คือนักแสดง หรือนักสะสม บางกลุ่มก็สนใจแต่ไม่ได้สนใจลึกซึ้ง นำไปเป็นของฝากของที่ระลึก หรือนำไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยไม่ได้สนใจเกี่ยวกับภาพความเป็นหัวโขน บางคนก็แค่สนใจว่าอยากทำ ได้เริ่มลงมือไม่นานก็เริ่มปล่อยทิ้งไป บางคนทำแล้วได้รู้ว่ามันยากก็เลยไม่ทำต่อ บางคนคิดว่างานหัวโขนจะได้เงิน แต่หารู้ไม่ว่าไม่จริงเลยเพราะหัวโขนสื่อถึงความเป็นไทยก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้เป็นทุนในการที่จะดำรงชีพได้อย่างในอดีต ปัจจุบันมีคนสนใจทำมากมาย มีหลายบ้านที่ทำแล้วเกิดอย่างต่อเนื่อง ศิลป์สยามก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำเพื่อเผยแพร่ อนุรักษ์ เลี้ยงชีพ และทำเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับคนที่สนใจมาเรียนและลองทำ บอกว่าคนสนใจน้อยไหมงานไทย น้อยนะ แต่ก็มีคนสนใจไม่น้อยเช่นกันเพราะปัจจุบัน คนเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับงานหัวโขนซึ่งเป็นครูบาอาจารย์มากขึ้น คนรุ่นใหม่บางกลุ่มก็สร้างสรรค์งานใหม่ ๆ เกิดขึ้น ได้รับการเรียนรู้ และสอนในสถาบัน และสร้างงานอย่างต่อเนื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวตน แต่การสานงานให้เป็นอาชีพก็เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย ในใจคิดว่าศิลปะไทยไม่จางหายไป เพราะคนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของงานศิลปะไทย และนำไปสร้างสรรค์ต่อยอดทั้งงานหัตกรรมไทย และงานหัตถศิลป์ ทำไมถึงเลือกมาทำหน้าที่สอน และถ่ายทอดความรู้แขนงนี้ เป็นช่วงบั้นปลายชีวิตแล้ว จริง ๆ ถามว่าเราเดือดร้อน เราก็เดือดร้อนนะ แต่ก็ต้องดิ้นรน อดทน และทุกวันนี้เราทำงานศิลปะไทยอยู่แล้ว สิ่งหนึ่งก็คือหัวโขนเป็นการรวบรวมคือครูช่างหลากหลายแขนงและบ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของชาติ ช่วงที่เรียนงานช่างในโรงเรียนช่างฝีมือในวัง เรามีความรู้สึกว่านี่คือตัวตนของเราที่มีความชอบในงานไทย และเมื่อเรียนแล้วจึงนำความรู้มาถ่ายทอดให้กับคนรุ่นหลัง ให้เห็นให้ประจักษ์ถึงแก่นถึงรากของงานศิลปะของชาติ จึงมีความคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเมื่อเกิดมาแล้วบนผืนแผ่นดินไทย ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยได้ ก็คือการสอนการให้ความรู้จากครูบาอาจารย์ นำมาถ่ายทอดให้กับนักท่องเที่ยวหรือคนที่สนใจอย่างไม่ปิดบังตามที่ได้เรียนรู้มา แล้วก็เลยมีความคิดที่จะสอนไปเรื่อย ๆ จึงสร้างแหล่งเรียนรู้ที่เกาะเกร็ดในชื่อว่าบ้านศิลป์สยาม เพราะการย้ายถิ่นฐานในช่วงปลายชีวิต ขอทำประโยชน์ให้กับแผ่นดิน และสามารถที่จะเลี้ยงชีพได้อย่างสง่างาม ยั่งยืน อย่างการทำตรงนี้มันเลี้ยงชีพได้ก็จริงแต่ก็ต้องทำการสอนด้วยเพื่อที่จะได้เงิน แต่การเรียนการสอนของเรา เราสอนฟรีเพราะว่าต้องการเผยแพร่ และทำให้คนรุ่นใหม่ไปสานต่อเพื่อต่อยอดและอนุรักษ์ต่อไป ภาพถ่ายโดย N.PASU (ผู้เขียน) ช่องทางติดต่อบ้านศิลป์สยาม : 061 529 5147 (หากต้องการทำ Workshop สามารถโทรไปแจ้งก่อนได้ครับ) เพจเฟซบุ๊กของบ้านศิลป์สยาม : บ้านศิลป์สยาม เกาะเกร็ด