เร็ว ๆ นี้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนลิขสิทธิ์ผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/866745 แต่ประชาชนบางท่านอาจสับสนว่าผลการจดทะเบียนก่อให้เกิดสิทธิเฉกเช่นเดียวกับสิทธิบัตร และ/หรือเครื่องหมายการค้าหรือไม่? มาครับเดี๋ยวผมอธิบายด้วยภาษามนุษย์ให้ฟัง (Cr: by user2846165 from https://bit.ly/2wGFkab)เมื่อกล่าวถึงลิขสิทธิ์ นับเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยและกำลังเริ่มตื่นตัวในการหวงแหนทรัพย์สินทางปัญญาชนิดนี้เพราะเหตุเพียงว่า ลิขสิทธิ์ก่อให้เกิดรายได้ผมยกตัวอย่างใกล้ตัวพวกเราครับ งานเขียนในทรู ที่มีการแทรกรูป เราสามารถจำแนกงานลิขสิทธิ์ออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ งานเขียน หรือในภาษากฎหมายเรียกว่า "งานวรรณกรรม" และ ตัวภาพที่ทางทรูแนะนำให้ใช้ภาพปลอดจากลิขสิทธิ์นำมาประกอบบทความ ส่วนตัวผมมองว่า ถ้าเป็นไปได้การนำภาพส่วนตัวจะถือเป็นการเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์ในภาพไปโดยไม่พักต้องกังวล ว่า จะมีการละเมิดลิขสิทธิ์ในภายหลังหรือไม่? (Cr: by 3dhun from https://bit.ly/3cGLc3N)การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์นั้น กฎหมายไทย (ย้ำว่าในบริบทของกฎหมายไทย) เราให้ความคุ้มครองโดยอัตโนมัติ นับแต่สร้างสรรค์ผลงานทันทีโดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ หากงานที่เราได้สร้างสรรค์ขึ้นเข้าเข้าองค์ประกอบทางกฎหมายครบทุกประการ ได้แก่ ริเริ่มด้วยตัวเองด้วยแรงกายแรงใจ หรือความวิริยะอุสาหะ (อ้างอิงคำพิพากษาเลขที่ 19305/2555 https://deka.in.th/view-532933.html) มีการแสดงออกซึ่งความคิด กล่าวอย่างง่าย คือ มีการถ่ายทอดความคิดออกมาในรูปแบบที่อาจจับต้องได้ เช่น การเขียนตามภาระกิจของทรูในแต่ละวัน ย้ำว่า ความคิดลอย ๆ (idea) ลิขสิทธิ์ยังไม่ให้การคุ้มครอง จนกว่าจะมีการแสดงซึ่งความคิด และงานที่สร้างสรรค์ต้องอยู่ในขอบของงานศิลปกรรมตามที่กฎหมายกำหนด เช่น วรรณกรรม ดนตรีกรรม นาฎกรรม ฯ https://bit.ly/2IIWCGr (โปรดตรวจสอบกฎหมายลิขสิทธิไทย มิใช่เพียงแค่รูปภาพอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ) นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่วงการเพลงจะต้องมีการพิจารณาแยกเนื้อร้องหนึ่งส่วน และทำนองอีกหนึ่งส่วนออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้เพื่อต้องการจะแจ้งให้ผู้ชมรับทราบว่า บางครั้งผู้นิพนธ์คำร้อง และทำนองอาจเป็นคนละคน ซึ่งแต่ละคนย่อมถือลิขสิทธิ์ในงาน (ที่ตัวเองสร้างสรรค์) อย่างเป็นอิสระต่อกัน ส่วนจะมีสัญญาระหว่างเจ้าของค่ายเพลงกับผู้ประพันธ์หรือไม่ย่อมเป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งน่าจะเกินขอบข่ายของบทความนี้จะวิเคราะห์ (Cr: by Clker-Free-Vector-Images from https://bit.ly/2TSSOaL)ผู้อ่านอาจเกิดคำถามต่อว่า (จากชื่อบทความ) แล้วจะให้จดทะเบียนไปทำไม? ในเมื่อกฎหมาย (ไทย) คุ้มครองงานสร้างสรรค์โดยอัตโนมัติ ผู้อ่านต้องลองมองไปในอนาคตครับว่า สมมุติผู้อ่านเป็นผู้ทรงลิขสิทธิ์ (เจ้าของ) เกิดมีข้อพิพาทว่าใครกันแน่เป็นผู้ทรงลิขสิทธิ์ ระหว่าง ผู้อ่าน กับ ผู้ที่โต้แย้งสิทธิของผู้อ่าน "การเป็นผู้ได้รับการจดทะเบียนลิขสิทธิ์" จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงส่วนนี้เพื่อให้ศาลท่านรับฟังว่าใครน่าจะเป็นผู้ทรงลิขสิทธิ์ โดยพิจารณาว่าใครเป็นผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนลิขสิทธิ์ ศาลท่านมักจะพิจารณาหลักฐาน เช่น การจดทะเบียน แต่ ๆ ๆ การยื่นคำขอจดทะเบียนลิขสิทธิ์หาใช่พยานหลักฐานซึ่งเป็นที่ยุติว่าเป็นผู้ทรงลิขสิทธิ์ไม่ ยกตัวอย่าง คู่กรณียกการจดทะเบียนขึ้นต่อสู้ผู้อ่านว่าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่ผู้อ่านอาจจะยกพยานหลักฐานว่าลิขสิทธิ์ได้รับจากงานสร้างสรรค์โดยผู้อ่าน มิใช่ของคู่กรณี และผู้อ่านถูกขโมยงานสร้างสรรค์ดังกล่าวไปจดทะเบียนทำให้คุณเองไม่สามารถแสวงประโยชน์จากงานสร้างสรรค์ของคุณได้ข้อดีจากการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ น่าจะพอเห็นว่าการแสวงหาประโยชน์ทางการค้า หรือมองในทางปฏิบัติได้ คือ การโอนลิขสิทธิ์จากผู้ที่ได้จดทะเบียนน่าจะได้รับการสันนิษฐานว่าควรจะมีสิทธิในการโอนลิขสิทธิ์ แต่ในทางกลับกัน หากผู้ที่ยื่นคำขอจดทะเบียนได้รับการจดทะเบียนจริง แต่ถ้าผู้ยื่นคำขอจดไม่ใช่ผู้ทรงที่แท้จริง ผู้รับโอนลิขสิทธิ์ย่อมไม่มีสิทธิไปด้วย สอดคล้องกับหลักกฎหมายที่ว่า "ผู้รับโอนไม่มีสิทธิ (ลิขสิทธิ์) ดีกว่าผู้โอน (ลิขสิทธิ์) (เพราะผู้โอนไร้ซึ่งสิทธิมาตั้งแต่ต้น - ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิ ดุจกัน) ด้วยเหตุนี้หากผู้ที่ค้นคิดงานสร้างสรรค์ขึ้น และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว ส่วนตัวผมแนะนำให้จดทะเบียนลิขสิทธิ์นะครับ แม้การจดทะเบียนจะไม่ได้เป็นบ่อเกิดแห่งสิทธิ แต่เพื่อประโยชน์ในทางการค้าและ ถ้ามีคดีเกิดขึ้น ทะเบียนน่าจะพอฟังขึ้นอยู่นะครับ ... ฝากติดตามบทความผมต่อไปด้วยนะครับ โดยเฉพาะด้านกฎหมายสัญญาว่าจะนำมาเผยแพร่เรื่อย ๆ ถ้า (มัดมือชก) บก.อนุมัติบทความผม 555