ในอดีต เวลาทุกคนเดินไปห้าง ไปซื้อเสื้อผ้า ผู้หญิงก็ล้วนเข้าแผนกเสื้อผ้าผู้หญิง ผู้ชายก็ต่างแผนกเสื้อผ้าผู้ชาย ไม่มีแฟนกสำหรับทั้งสองเพศ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันแฟชั่นไม่มีการจำกัดเพศ ผู้หญิงก็สามารถใส่เสื้อผ้าผู้ชายได้ เฉกเช่นกัน ผู้ชายก็สามารถใส่เสื้อผ้าของผู้หญิงได้ วันนี้จึงขอพาเพื่อนๆให้มารู้จักกับคำว่า Androgynous โดย Androgynous มีรากฐานมาจากภาษากรีก (Andros แปลว่า ผู้ชาย + Gyne แปลว่า ผู้หญิง) แปลว่า บุคคลที่มีบุคลิกที่ไม่สามารถระบุเพศได้อย่างชัดเจนว่าหญิงหรือชาย และยังหมายถึง ทัศนคติที่ต้องการทำลายกฎเกณฑ์เรื่องเพศอีกด้วย แน่นอนว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งที่มนุษย์ล้วนประกอบสร้างกันขึ้นมาเอง เริ่มจากความแตกต่างในเชิงกายภาพก่อนค่อยนำไปสู่ความเชื่อที่มีต่อเพศต่าง ๆ ในด้านอื่น อาทิ กริยาท่าทาง ความแข็งแรง-ความอ่อนแอ ความคิด อารมณ์ ผู้หญิงเหมาะสมกับสีสันสดใส ผู้ชายเหมาะกับสีโทนมืดหน่อย เครื่องประดับก็ดูเป็นของสำหรับผู้หญิง การแต่งหน้าก็เช่นกัน Androgynous จึงเป็นการท้าทายเรื่องความคิดเรื่องเพศที่มีต่อสังคมอย่างมาก สังคมพัฒนาไปตามกาลเวลา แน่นอนว่า แฟชั่นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขับเคลื่อนสังคม Androgynous เองก็ขับเคลื่อนสังคมเช่นกัน 1920s หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เกิดแฟชั่นสตรี La Garçonne เกิดขึ้น มีการทำผมสั้น เปลี่ยนจากเสื้อผ้าที่ให้เห็นทรวดทรงองค์เอว เป็นการเพิ่มความทะมัดทแมง ลดความรุงรังของเครื่องประดับ ผู้หญิงตัดผมสั้น ใส่สูท 1960s – 1970s Babyboomer Generaton มีเสื้อผ้า unisex เกิดขึ้นมากมาย มีการใส่ยีนส์ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถใส่ได้ 1980s Androgynous ไปปรากฏในโลกของดนตรีมากขึ้น ทำให้เกิด iconic มากมาย อาทิเช่น Davie Bowie อย่างในไทยก็จะมีศิลปินอย่าง ปุ๊ อัญชุลี 1990s Grunge Rock มีการแต่งชุดที่ขัดต่อเพศสภาพของตนเองอย่างโจ่งแจ้ง เช่นวง Nirvana ที่ใส่เดรสลายดอกของผู้หญิง ยุคปัจจุบัน unisex เป็นเสื้อผ้าปกติที่ไม่หวือหวาสำหรับคนหมู่มากอีกต่อไป ทุกคนคุ้นชินกับมัน แบรนด์ดังต่างๆก็มีคอลเลคชั่นที่ท้าทายวงการแฟชั่นเกี่ยวกับเรื่องเพศเสมอๆ รวมไปถึงตัวนางแบบเองที่มีความหลากหลายทางเพศขึ้น ผู้เขียนเชื่อว่าแฟชั่นไม่เพียงแค่เสนอตัวตนของผู้ที่สวมใส่แล้วแต่ยังขับเคลื่อนสังคมอีกด้วย ขอบคุณข้อมูลจากวิชาของนิเทศศาสตร์ จุฬา FASN COMM pexels.com