ท่านผู้อ่านที่ผ่านเข้ามาผู้แสนจะน่ารักครับ ขออนุญาตทักอย่างนี้นะครับ ไม่ได้ปากหวานอะไร เพราะหนึ่งในคำพูดที่น่ารัก และ ที่เสริมพลังใจกันได้ในช่วงเวลานี้ ที่เรียกว่า "วิกฤติชีวิต กับโควิด" แทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ คำทักทายอันน่ารักที่ออกจากใจของผู้เขียน คงพอจะรดน้ำให้ดอกไม้ของผู้อ่านมีกำลังใจได้ใช่ไหมครับ ส่วนตัวแล้ว ตั้งแต่ช่วงชีวิตพัวกับวิกฤติโควิด 19 นี้ แอบตั้งคำถามอยู่สองนานและก็คิดถึงจังหวะชีวิตที่ให้ประสบการณ์ในช่วงหลายเดือนก่อน ที่ได้ไปอบรม ทูตอาสาสร้างความสุข รุ่นที่ 11 จัดโดยทีมงานของ จิมมี่ โค้ช อคาเดมี่ หรือ บริษัท ส่งสุข วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ด้วยการทราบข่าวจาก เพจ Happy Life Happy Thailand ที่ต้องกล่าวทวนย้อนไปเพราะว่าช่วงนั้น คือ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของนักสร้างสุข หรือ ทูตสร้างความสุขเลยล่ะครับ หลังจากอบรม ซึ่งเราพร้อมใจที่จะขยายความสุขให้กับคนไทยทั่วประเทศ จากทูตหนึ่งคน สู่กลุ่มเป้าหมายอีก 100 คน มันคือพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ชะมัด เนื่องจากว่า พวกเราต้องไปส่งสุขให้ฟรี ๆ ครับแล้วก็ยินดีเสียด้วยซ้ำ เพราะนั่น คือ พันธกิจ ที่ผู้ผ่านการฝึกอบรม ซึ่งได้รับทุนจากโครงการฯ จำนวน 50,000 บาท ในการเรียนรู้เครื่องมือเพื่อต่อยอดสร้างรอยยิ้มให้กับมวลรวมของประชากรไทย สิ่งที่เล่ามานี้ คือ สิ่งที่เป็นวัคซีนชั้นดีที่เรากำลังต่อสู้กับโรคไวรัสโควิด 19 ครับ พี่จิมมี่ หรือ คุณจิมมี่ (พจนารถ ซีบังเกิด) ผู้ก่อตั้งจิมมี่โค้ช และ โค้ชไลฟ์ เรียกว่า เป็นครูใหญ่ของพวกเราที่กำลังทำภารกิจส่งความสุขให้กับชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างรวมถึงคนอื่น ๆ สัตว์ และสถานการณ์ที่เผชิญกับปัญหาภาวะทุกข์ เชื่อหรือไม่ครับ ในช่วงวิกฤติที่เรากำลังเผชิญสถานการณ์ไวรัสโควิดบุกโลกครั้งนี้ ผมนึกถึงหน้าโค้ชจิมมี่ขึ้นมาคนแรกเลย แล้วตั้งคำถามว่า เราจะเผชิญหน้า กับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไม่ทุกข์อย่างไร ซึ่งมิได้มีบริบทที่จะต้องอธิบายตามหลักศาสนานะครับ เอาแบบชีวิตสด ๆ ของความธรรมดาที่ปุถุชนกำลังเจอ ระหว่างที่งัวเงียคิดถึงแกอยู่ เพื่อน ๆ ก็ส่งข่าวขึ้นมาราวกับรู้ใจครับ ว่า พี่จิมมี่กำลัง พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับโควิด ออนไลน์ ชื่อหัวข้อ Covid-19 PATH WAY OF THE HERO'S JOURNEY เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 เวลา 11.00 -12.00 น. ครับ จัดโดยเพจ ห่วงใย Thai Business รายการสดที่ผมคลิ๊กเข้าไปดู มีคนติดตามประมาณร้อยกว่าคน และหนึ่งในนั้นมีผลที่เข้าไปดูในช่วง ตอบคำถามก่อนปิดรายการ จึงรีบถามเข้าไปก่อนที่เขาจะปิดจอดำเสียก่อนครับ ซึ่งคำถามของผมจะเอาไว้ท้ายบทความนี้ ภาพด้านล่างนี้ คือ ภาพที่ผมขอไฟล์กับพี่จิมมี่และอนุญาตมา โดยผมนั่งดูคลิปย้อนหลังแบบไว ๆ ทำความเข้าใจแบบศิษย์เก่า ประมาณว่า รู้แล้ว ๆ แต่ที่รู้ ๆ ผมจะเล่าใหัฟัง จากรายการดังนี้ครับ คำถามที่พวกเราจะต้องตอบตนเองก่อนที่จะโทษผู้อื่น คำถามแรกที่พบพบ และ พี่จิมมี่ ถาม ก็คือว่า มีใครบ้างไหมที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้บ้าง? น่าสนใจไหมครับ คำถามแบบนี้ เราดูมันไม่กว้างไปใช่ไหมสำหรับการที่จำเริ่มถามคำถามน้อย ๆ ด้วยการถามเราเอง หลายคนเอะอะโวยวายกับการจะต้องเป็นผู้ตกทุกข์ได้ยากจากสถานการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่า ทุกข์จากโควิดคือทุกข์สาธารณะ แต่มีใครบ้างล่ะที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในครั้งนี้ การที่จะต้องมานั่งกักตัวที่บ้านแล้วเขียนเรื่องราวของผม ก็เป็นผลพวงจากสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน คงไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้นะครับ เป็นคำถามถึงความตระหนักและสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า ทุกคนเกี่ยวข้องกับมันนะ เอาล่ะ ตั้งสติกันนะ ผมว่า พี่จิมมี่ คงจะบอกอะไรต่อไป ถูกต้องแล้วที่คุณกำลังเครียด นี่คือความจริงที่สุดว่า เรากำลังเครียด อย่าบอกและหลอกตัวเองนะครับว่า คุณรู้สึกชิวมาก ๆ เมื่อโควิดมา สิ่งที่เรากำลังเผชิญมักมากับคำถามที่เราทุกข์กับสิ่งที่เราเผชิญใช่ไหมครับ บางคนโวยวายรัฐบาล บางคนเรียกร้อง ทุรนทุรายไปกับการสูญเสียที่ยังไม่มา ประมวลรวม ๆ ว่าเรารู้สึกเครียดกับสิ่งที่เราเผชิญยังไม่พอ เราเครียดและกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งนั่น ก็หมายถึง เราเป็นคนปกตินะครับ เครียดน่ะถูกแล้ว ทุกคนก็เครียดเช่นกัน แล้วเราจะต้องทำอะไร ครับ ยอมรับความจริง และไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานสถานการณ์เลวร้ายไปกว่าเดิมนะครับ เราต้องเป็นผู้ลิขิตในสถานการณ์ชีวิตที่เผชิญกับโควิด ในสถานการณ์ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นแบบปกติหรือไม่ปกติ ชีวิตย่อมเผชิญหรือพบปะกับสิ่งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ นอกจากนี้ เราจะพบว่า ตัวเองเองจะตกเป็นเหยื่อ หรือ เป็นผู้ลิขิตเพื่อให้ชีวิตข้ามพ้นจากสถานการณ์ได้ครับ ในทุกสภาวะการณ์เราเป็นได้ทั้งฮีโร่ และ ผู้ร้ายได้ด้วยนะครับ นี่คือ ศาสตร์แห่งโค้ชชีวิตกำลังบอกเราว่า ทำไมเราไม่แสวงหาข้อดีของการพบเจอโควิดในครั้งนี้ ด้วยท่าทีและมุมมองใหม่เสียล่ะ ผมว่าแนวคิดแบบนี้ จะจริตและเป็นไปในทิศทางการมองโลกดี ๆ ในหลาย ๆ ด้านสำหรับหลายคนนะครับ เช่น การมองหาข้อดีของสิ่งแย่ ๆ หรือมองให้เห็นแก่นแท้ของสภาวะจริง หากใครมองได้และข้ามพ้นได้ และสามารถใช้ศักยภาพในการสร้างงาน และพัฒนาตัวเองได้ในช่วงนี้ นั่นล่ะครับ เขาเรียกว่า ผู้ลิขิต ส่วนใครที่กำลังตีโพยตีพายอยู่ไม่ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคลี่คลายได้ เราจะมีท่าทีที่ไม่เป็นสุขกับตัวเองและผู้คนรอบด้านอีกด้วย ผมเชื่อว่า ในที่สุดพลังบวกดี ๆ ของเราจะหายไป และดับไปเสียด้วยซ้ำ เราจะผ่านมันไปได้อย่างไร มีสามข้อ ที่ผมค้นพบในช่วงท้าย ๆ ที่คิดว่า น่าจะเป็นคาถารอดตายในการเผชิญวิกฤติครั้งนี้เลยก็ว่าได้นะครับ ผมจดและจำมาจากการไลฟ์สด จากผู้ที่ผมเรียกว่า ครูจิมมี่ 3 ประการก็คือ อย่าห่วงภาพพจน์ เพราะคนที่ห่วงภาพพจน์ ยิ่งจะเป็นทุกข์ เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ เราควรบอกความจริงต่อผู้คนและตัวเราเองที่จะต้องยอมรับความจริงนั้น คนทำงานในบริษัทฯ ต้องไปทำงานที่บ้าน คุณอย่ากังวลและสร้างความคาดหวังในสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างที่ทำงานในออฟฟิต ทรัพยากรที่บ้านมีจำกัด เช่น คอมพิวเตอร์ ข้อมูล เพื่อนที่ให้คำปรึกษา เราควรมีท่าทีที่บอกความจริงให้กันและกันว่า เรากำลังเจอปัญหาที่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องงาน แต่เรากำลังเจอบททดสอบกับชีวิตด้วยโควิดนี่แหละ เพราะฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุด คงจะเป็นการเปิดใจคุยกัน ฟังกัน และไว้เนื้อเชื่อใจกันนะครับ จงมี Mindset ที่เชื่อมั่นว่า เราจะรอดและผ่านมันไปได้กับสถานการณ์อันบีบคั้นนี้ เพราะเราเชื่อว่าเรารอดเราก็จะรอด หากเราเชื่อว่าเราไม่รอด โอกาสที่จะไม่รอดก็จะมาถึงเราก่อนใคร สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความเข้าใจว่าต้องรอดอย่างเดียว แต่ต้องมีวินัยในการปฏิบัติตนเองตามคำแนะนำของผู้ที่มีบทบาทด้านการควบคุมระบบ เช่น คุณหมอ รัฐบาล และผู้นำชุมชนด้วยนะครับ ซึ่งเราต้องมีวินัยและเชื่อฟัง ทำตาม เก็บเรื่องราวนี้ไว้ เพื่อเล่าสู่ลูกหลานในอนาคต ว่าเราผ่านมันมาได้อย่างไร อย่างภูมิใจ สำคัญมาก ๆ ในศาสตร์โค้ชไลฟ์ที่มองเห็นเป้าหมาย หรือ ลำแสงที่ปลายอุโมงค์ การบ่มเพาะและมองข้ามเรื่องราวด้วยท่าทีใหม่ นอกจากจะทำให้พลังใจของเราไม่ถดถอยแล้ว เราอาจจะตกผลึกเรื่องราวดี ๆ เหล่านั้นในวันนี้ เก็บไปเป็นสตอรี่บอกกับลูกหลานในอีกสิบปีข้างหน้าได้ว่า รู้ไหม พ่อรอดมาได้ด้วยหน้ากากอนามัยที่แม่เย็บให้ใส่ แบบนี้เป็นต้นครับ สุดท้ายในรายการจากทางบ้านช่วงท้ายรายการ มีคำถามหนึ่งที่ถูกตอบเป็นคำถาม ของลูกศิษย์ที่ถามครู โดยผมเองถามเข้าไป ว่าเราผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ ซึ่งเราเผชิญมาจนเคยชินไปแล้ว หลังจากนี้ เราจะกล้ากอดกัน กล้าที่จะกลับมาใกล้กัน ได้อย่างเดิมหรือไม่? คำตอบจากครูจิมมี่ ที่ผมฟังแล้วก็น่าตบกะโหลกตัวเองเสียนี่ ท่านตอบว่า ต้องถามกลับไปว่า เรามั่นใจ เชื่อใจ และคิดว่าเราปฏิบัติ ถูกต้องและปลอดภัยในช่วงนี้ได้ดีแล้วหรือยัง หากเราปฏิบัติและไว้เนื้อเชื่อใจตัวเองเสียแล้ว คงไม่มีอะไรที่จะกังวลใจว่า เราจะต้องกอดเพื่อนมนุษย์และแบ่งปันรักได้อย่างบริสุทธิ์แน่ ๆ เลย ทันทีที่ได้ฟังคำตอบนั้น ผมคิดว่า สิ่งเหล่านั้น มันอยู่ที่การมองสถานการณ์และการจัดการจากหน่วยเล็ก ๆ ที่เรียกว่า เรา และเราก็ย่อมเป็นเหตุให้สถานการณ์นั้น สง่างามแล้วข้ามพ้นไปด้วยกับสังคมที่กำลังเผชิญอย่างที่เราเผชิญ ขอเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ ท่านครับ ขอบคุณ โค้ชพี่จิมมี่ มาก ๆ ครับ และขอบคุณในความรู้และภาพที่แบ่งปันมาครับผม เราจะข้ามพ้นมันไปด้วยกันนะ ขอบคุณโควิดด้วยครับ ขออนุญาต แชร์ลิ้งค์มาเผื่อใครหลายคนจะได้รับชมไปด้วยกันน๊ะ ภาพโดย คุณจิมมี่ พจนารถ ซีบังเกิด https://web.facebook.com/carethaibiz/videos/230563648023181