ท่านผู้อ่านครับหากผมกำลังอยากเชิญชวนท่านไปออกกำลังที่ไหนเพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีนั้น ท่านคิดว่า ถ้าผมยังไม่เฉลย ท่านคงจะมีคำตอบอยู่ในใจใช่ไหมครับว่า การออกกำลังเพื่อให้สุขภาพดีนั้น เป็นเรื่องของการออกกำลังกายแน่นอนครับว่า กายคือ ศูนย์กลางของการทำมาหากินและทรงไว้ซึ่งสภาวะที่เห็นได้ชัด เช่น แข็งแรง มีความปกติ อย่างง่าย ๆ เลยก็ดูจากการประเมินทางกายเป็นหลัก และเช่นเดียวกัน ศูนย์ซ่อมสุขภาพที่ใหญ่ที่สุด ที่มนุษย์คิดถึง คงหนีไม่พ้น "โรงพยาบาล" จริงไหมครับอันที่จริงแล้ว การมีสุขภาพ หรือ สุขภาวะที่ดี ในความหมายของ WHO หรือองค์การอนามัยโลก ได้ระบุ ภาวะที่่สมบูรณ์ของการมีสุขภาพที่ดีนั้น ต้องมีสัดส่วนของ กาย อารมณ์ สังคม และสุดท้ายที่จะกล่าวกันคือ สุขภาวะทางปัญญา หรือ Spiritual Healthสุขภาพตัวหลังอย่าง "สุขภาวะทางปัญญา" นี่ล่ะครับ หลายคนมักมองข้ามไป เพราะคิดว่า กิจกรรมทางกายก็เพียงพอต่อการมีสุขภาพที่ดี ซึ่งในทัศนะของผมเองนั้นมิได้ปฏิเสธครับเพียงแต่ว่า มันมีทางเลือกอีกมุมหนึ่งของสนามกีฬาแห่งปัญญา ที่เรียกว่า "ห้องสมุด" ให้เราได้ออกมาพัฒนาพื้นที่ให้สมองของเราได้ทำงานและออกกำลังกันครับห้องสมุดที่ผมหลงรัก และ เป็นโรงยิมที่มีพระคุณของผม คือ ห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยสงฆ์ นิกายธรรมยุติ มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ในทุกครั้งของการเข้าห้องสมุดผมรู้สึกถึงความเบิกบานใจมิใช่น้อยครับ เหมือนกับว่าเราได้พบกับเพื่อนเก่าที่มานั่งรอบนหิ้ง แล้วไปอุ้มมาวางไว้บนโต๊ะ จ้องหน้ากันนานแสนนาน ได้คุยกัน จนร้อง อ๋อ ๆ เหมือนเข้าใจกันท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า "โลกของการอ่าน ไม่เคยทำให้ใครได้รับความบาดเจ็บทางกาย" แต่ทว่ามากกว่านั้นยังรักษาโรคทางใจ ความหม่นเศร้า และสะสางความไม่รู้ให้กลายเป็นวิถีของการเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมที่จะออกไปทำสิ่งถูกในกระบวนการใช้ชีวิตร่วมกับสังคมและผู้อื่นได้อีกด้วยหมวดหมู่ในโรงยิมแห่งความรู้ที่เรียกว่า "ห้องสมุดนั้น" มันมีมากกว่าการออกกำลังใจ หากเราจะแสวงหาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อนำไปปฎิบัติตนให้เป็นเลิศด้านสุขภาพ ที่นี่คือ สำรับที่บอกคู่มือไว้ทุกอย่างที่มีความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี จากผู้รู้ที่ตกผลึกทางปัญญาวางไว้ให้เราเข้าไปศึกษา ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ผมค่อนข้างทึ่งและตกใจมาก ๆ เมื่อได้ไปที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเวียนนา ที่ประเทศออสเตรีย ผมพบว่า ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยเต็มตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีนักศึกษามานั่งรอที่บันได สนามหญ้า และจองคิวกันแน่นหนา บ้างระหว่างรอคิวก็นั่งอ่านหนังสือรอเรียกตัวที่ริมระเบียง ส่วนข้างในของผู้ได้สิทธิก่อนนั้น จะนั่งโต๊ะของใครของมัน และมีโคมไฟหนึ่งดวงเพื่อส่องลงมาในการอำนวยแสงสว่าง มันเป็นภาพจำของผมในวันนั้นเป็นต้นมาว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว มิได้แสวงหาฮีโร่คนเก่งด้านกีฬาแบบลำพัง แต่เขาวางรากฐานของการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกผ่านกระบวนการศึกษา ให้คนมีสุขภาวะทางปัญญาที่ดีได้ด้วยการตระหนักตนปัญญาที่ได้มาจากการคลุกคลีกับห้องสมุด มิใช่เป็นสิ่งที่จะบังคับกันได้โดยง่าย ผมพบว่า ผู้มีวินัยในการออกกำลังกายจะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้ผลัดวันประกันพรุ่ง เช่นกัน ผู้มีการออกแบบตัวเองให้เข้าถึงองค์ความรู้แม้มิใช่ห้องสมุดที่มีหนังสือให้เลือกสรรมาอ่าน ก็สามารถที่จะเตรียมตัวให้เกิดความรู้ในโลกที่ออนไลน์สรรพวิชาแควนไว้ในทุกซอกมุมแห่งดิจิตอลเราไม่อาจคาดเดาได้นะครับว่า ดิจิตอลที่เข้ามาดิสรัปชั่น การอ่านแบบเก่า ๆ ที่เป็น Manual จะลดทอนหรือเพิ่มขึ้นมันสมองของมนุษย์ให้แข็งแรงขึ้นเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาความเจริญให้สังคมศิวิไลซ์ จนวันหนึ่ง โลกแห่งห้องสมุดอาจจะหายไป น่าใจหายเหมือนกันถ้าถึงวันนั้น สถานที่ออกกำลังทางปัญญาต้องปิดตัวลง แล้วเราจะเสริมศักยภาพด้านความเข้าใจแม้ด้วยเรื่อง "สุขภาพเอง" ในวันข้างหน้าได้อย่างไรมาออกกำลังกายให้สมองของเรากันที่ห้องสมุดบ่อย ๆ นะครับเพื่อสร้างทิศทางและเข้าใจให้การออกกำลังกายมิติอื่น ๆ ได้เติมเต็มกันและกัน เป็นสุขภาวะองค์รวม (Holistic Health) ไงล่ะภาพ : โดยผู้เขียนสถานที่ : ห้องสมุด มมร.