แฟนบอลต่างทราบกันดีว่าฟุตบอลสมัยใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเล่น ขอบเขตหน้าที่ของนักเตะแต่ละคน ไปจนกระทั่งแนวทางการบริหารของแต่ละสโมสร ที่แต่ละแห่งต่างปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อที่จะผลักดันให้ทีมของตนก้าวเข้าไปแข่งขันกับสโมสรร่วมลีก ไปจนถึงการสู้กับคู่แข่งต่างลีกในเวทีบอลยุโรปได้ สังเกตได้ชัดเจนจากการวางขอบเขตหน้าที่ของนักเตะ ผู้เล่นแต่ละตำแหน่ง ล้วนถูกเคี่ยวเข็ญอัพเกรดขีดความสามารถให้มากยิ่งขึ้น เช่น นักเตะตำแหน่งกองหน้าจะมารอทำประตูเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทักษะการจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูด้วย นักเตะตำแหน่งกองกลางจะเอาแต่จ่ายบอลให้เพื่อนอย่างเดียวก็ไม่ได้เช่นกัน ต้องหัดขึ้นไปทำประตู จบสกอร์อย่างผู้เล่นกองหน้าบ้าง ตำแหน่งผู้รักษาประตูก็เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้การยืนปักหลักคอยป้องปัดลูกฟุตบอลอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของโค้ชอีกต่อไป ว่ากันว่าฟุตบอลสมัยนี้เอาชนะกันที่เกมกลางสนาม ใครช่วงชิงอิทธิพลกลางสนามได้มากกว่า โอกาสชนะย่อมมีมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อมีแนวคิดนี้เกิดขึ้น ผู้เล่นกองกลางจึงถูกบีบให้เล่นบอลยากขึ้น ภาระหน้าที่จึงตกมาที่กองหลังที่จะต้องพาบอลขึ้นไปแดนหน้าแทน คำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วถ้าทั้งกองกลางจนถึงกองหลังโดนไล่ปิดพื้นที่จนเล่นบอลไม่ได้ล่ะจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร? เมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ตำแหน่ง ‘Offensive Goalkeeper’ จึงถือกำเนิดขึ้นบนโลกฟุตบอล ‘Offensive Goalkeeper’ คือตำแหน่งผู้รักษาประตูที่มีทักษะการใช้เท้าได้ดี สามารถจ่ายบอลในระยะใกล้-ไกลได้อย่างแม่นยำ เอาตัวรอดในพื้นที่แคบ ๆ ได้ ขณะโดนผู้เล่นฝั่งตรงข้ามวิ่งเข้าบีบพื้นที่การเล่น Offensive Goalkeeper ก็ต้องมีความสามารถพาบอลผ่านไปได้ บางจังหวะของเกมการเล่น นักเตะตำแหน่ง Offensive Goalkeeper จะต้องออกมาตัดบอลคู่แข่ง เก็บบอลตกค้าง ทำหน้าที่แทนกองหลังได้ด้วย ‘Offensive Goalkeeper’ จะเป็นที่ต้องการอย่างมากในทีมที่มีสไตล์การเล่นแบบฟุตบอลเกมรุก เมื่อพวกเขามีผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าได้ดี สามารถเปิดเกมรุกได้อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ต่างอะไรไปจากพยัคฆ์ติดปีก โค้ชจะสามารถสั่งให้ผู้เล่นกองหลัง กองกลาง และกองหน้า วิ่งเข้าพื้นที่ฝั่งคู่แข่งได้เต็มที่ เปิดเกมรุกได้เต็มสูบ บุกชนิดที่ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป ขอบคุณรูปภาพจาก pixabay.com