คำนำ ธรรมชาติย่อมสร้างแรงบันดาลใจ เมื่อได้ไปสัมผัสก็อยากจะเก็บความรู้สึก ความทรงจำนั้นไว้ ฉันจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาโดยหวังว่าจะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำว่าครั้งหนึ่งได้เคยไปเยือนมรดกโลก...เขาใหญ่ ฉันมีโอกาสได้อ่านหนังสือชื่อซุปเปอร์มด ถั่วยักษ์ และแม่หมี จึงมีความคิดว่าน่าจะสื่อสารความรู้เรื่องป่าให้อ่านได้เข้าใจไม่ยากและเหมาะกับทุกคน จะอ่านเอาสนุก อ่านเอาสาระก็ตอบโจทย์ ประกอบกับความประทับใจในการศึกษาธรรมชาติและอยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสด้วยกันด้วยเหตุนี้หนังสือเล่มนี้จึงเกิดขึ้น มีผู้ที่ฉันอยากขอบคุณมากเหลือเกิน ขอบคุณคณาจารย์ที่จัดประสบการณ์ศึกษาธรรมชาติในครั้งนี้ ขอบคุณ ผศ. กานน สมร่าง ที่กรุณาให้ความรู้เกี่ยวกับป่ารวมถึงช่วยตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ให้อีกด้วย ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง ภาพต้นไทรจากปลาทู ขอบคุณกลุ่ม siamensis.org สำหรับข้อมูลของเอนอ้า และขอบคุณที่โลกนี้มีป่า แหล่งกำเนิดสายธาราแห่งชีวิต หวังเล็กๆจากคนเขียนคงไม่พ้นว่าผู้อ่านจะชอบใจ และฉันคงดีใจมากหากหนังสือเล่มนี้จะให้ความรู้และเป็นอีกแรงบันดาลใจให้เรารักและหวงแหนป่า เพราะป่าคือชีวิต คิมหันตฤดู,2559ไป!!! (เขาใหญ่) กลิ่นธูปหอมที่ส่งกลิ่นขจรไปทั่วลานเจ้าพ่อยามตีห้าไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด สิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งในธรรมเนียมของลูกสุริยะที่ไม่ว่าจะทำกิจกรรมน้อยใหญ่หรือแม้การออกเดินทางใกล้หรือไกลก็จะมีการสักการะสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เพื่อขอให้บารมีของท่านคุ้มครองให้กิจกรรมหรือการเดินทางนั้นสำเร็จลุล่วงและปลอดภัย หลังการสักการะเจ้าพ่อแล้วคณะเดินทางของเราอันประกอบด้วยคณาจารย์สาขาชีววิทยา นิสิตชั้นปีที่ 3 และ 4 ก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ การเดินทางในทริปนี้ใช้เส้นทางฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี จากถนนพหลโยธิน เลี้ยวขวาบริเวณรังสิตเข้าทางหลวงหมายเลข 305 สู่ตัวเมืองนครนายก แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร) ถึงสี่แยกศาลนเรศวรเลี้ยวซ้ายตามเส้นทางปราจีนบุรี – เขาใหญ่ ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยประมาณหกโมงเช้า และถึงด่านตรวจค่าธรรมเนียมเนินหอมในเวลาประมาณเก้าโมงครึ่ง เมื่อผ่านด่านตรวจค่าธรรมเนียมมาไม่ไกลจะมองเห็นสองข้างทางที่เขียวชอุ่มไปด้วยเฟิร์นโบราณอย่างโชนที่ทอดตัวปกคลุมตลอดแนวสองข้างทาง เฟิร์นโบราณนั้นพิเศษกว่าเฟิร์นที่เราเคยเห็นในสวนหลังบ้านตรงที่เฟิร์นโบราณนั้นเหมือนกับเอาใบหลายๆใบมาต่อกัน (ลักษณะใบประกอบขนนก) มีสีเขียวเข้มและสามารถมองเห็นการม้วนงอของยอดอ่อนได้อย่างชัดเจน หากนึกไม่ออกอาจจินตนาการถึงยอดของผักกูดก็ได้ แต่ออกจะเป็นยอดผักกูดที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก น่ามหัศจรรย์ที่พืชที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่ 225 ล้านปีที่แล้วจะยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์มาถึงปัจจุบันได้ เมื่อสำรวจเฟิร์นโบราณกันจนพอใจแล้ว เราก็ขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่ผาเดียวดาย รถขับผ่านแยกที่จะไปน้ำตกเหวนรก ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตกของป่าเขาใหญ่ ชื่อนี้มีที่มาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นหุบเหวลึก มักจะมีช้างที่เดินไม่ระวังตกลงไปก้นเหวทำให้เหวนี้เหมือนกับสุสานช้างป่า ระหว่างทางขึ้นผาเดียวดายจะรู้สึกหูอื้อเนื่องจากความกดอากาศต่ำ ให้เคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยแก้อาการหูอื้อได้ ตอนนี้มองไปข้างๆสองข้างทางจะเห็นรถมาขุดลอกดินตลอดแนวถนน ทำทางระบายน้ำรองรับน้ำฝนที่จะไหลหลากในวัสสานฤดูเพื่อไม่ให้ถนนเสียหายผา (ไม่) เดียวดาย ผ่านอาการหูอื้อมาเล็กน้อยผสมกับความตื่นเต้นไปกับวิวทิวทัศน์สองข้างทางแล้ว รถตู้ของเราก็มาจอดบริเวณทางขึ้นผาเดียวดาย ประวัติความเป็นมาน่าเศร้าฉันขอไม่นำเสนอ การเดินไปผาเดียวดายปัจจุบันสะดวกสบาย มีการทำทางเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ฉันถามอาจารย์ว่าทำไมถึงมีการสร้างทางเดินนี้ ได้คำตอบว่าเพื่อจะได้ให้เรามาศึกษาธรรมชาติและจะได้ไม่เหยียบต้นไม้เล็กๆในป่า ดีจริง...เราไม่เบียดเบียนป่า ป่าให้คุณแก่เราเดินมาไม่ถึงสามนาทีเราก็มีโอกาสได้รับการต้อนรับจากเลียงผาตัวโตที่ออกมาหากิน แต่ด้วยความเป็นสัตว์ป่าเมื่อเห็นมนุษย์เยอะเข้าเลยเดินหลีกไปทางอื่น น่าเสียดายที่ถ่ายภาพไว้ไม่ทัน ตื่นเต้นกับเลียงผาได้พักเล็กๆเราก็ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับวิวทะเลหมอกสวยๆ เรือนยอดเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตาของแนวภูเขาร่มตัดกับขอบฟ้าคราม สวยงามชนิดที่ว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อากาศที่นี่เย็นสดชื่น ลมก็พัดโบกให้เอนอ้าโอนไหวไปตามลม เอนอ้าหรือมังเคร่ช้างหรือโคลงเคลงนี้เป็นไม้พุ่ม สูง 1 – 2 เมตร เป็นพืชสมุนไพรพบได้ทั่วไปทุกภูมิภาคของประเทศไทย ไม่ห่างจากเอนอ้านักจะเห็นไผ่เลื้อยพาดไปตามต้นไม้ ลักษณะของไผ่เลื้อยเป็นลูกครึ่งระหว่างไผ่กับเถาวัลย์ ปกติแล้วลำต้นของไผ่จะตั้งตรงแต่ไผ่เลื้อยนี้เลื้อยสมชื่อ คือเลื้อยเกาะไปตามต้นไม้ใหญ่ไปเรื่อยเหมือนเถาวัลย์ ไผ่เลื้อยนี้สามารถนำไปทำเครื่องจักสานได้ ถัดมาจะเจอกับพืชที่เกาะอยู่กับไม้อื่น (อิพิไฟท์ แพลนท์ : Epiphyte plants) ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีคือกล้วยไม้ พืชพวกนี้มักใช้รากยึดเกาะตามส่วนต่างๆของต้นไม้เพื่ออาศัยรับแสงแดดมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง แต่รากนั้นไม่ได้แทงเข้าไปในเนื้อไม้จึงไม่ได้เป็นปรสิตกับไม้ที่มันยึดเกาะ นอกจากนี้ยังมีพวกไลเคน เฟิร์น และมอสส์ซึ่งพบกระจายทั่วเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เหมือนใครเอาพรมกำมะหยี่มาปูไว้ทีเดียว เดินมาได้ประมาณครึ่งทางเราก็เจอกับกอเตยหนาม ลักษณะคล้ายเตยแทบทุกประการ เว้นแต่ขนาดที่ใหญ่กว่าและมีหนาม เตยหนามนี้สามารถนำมาทอเป็นเสื่อได้ เคยสังเกตไหมว่าบางคนที่โดนแดดมากๆผิวมักจะลอก ต้นไม้เองก็มีการแตกลอกของผิวเหมือนกัน ในธรรมชาติการขาดน้ำไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสัตว์ พืชเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จะทำอย่างไรจึงจะอยู่รอดได้ในสภาวะนี้ได้ตลอดหน้าแล้ง การที่ผิวลำต้นลอกก็มีข้อดีเช่นกัน คือผิวลำต้นที่แห้งลอกจะยังมีบางส่วนที่อยู่ติดกับลำต้นและทำหน้าที่เสมือนเสื้อผ้าที่ป้องกันเนื้อไม้ด้านในไม่ให้เกิดการระเหยหรือคายน้ำมากจนเกินไป พืชมีกลไกในการดำรงชีวิตที่น่ามหัศจรรย์เสมอ แต่การลอกแตกของผิวไม้บางชนิดก็เกิดจากลักษณะของไม้นั้นๆอยู่แล้ว มิได้เกี่ยวกับการขาดน้ำแต่อย่างใด และอีกกลไกที่น่ามหัศจรรย์ก็คือการเกิดปุ่มปมตามลำต้น กลไกนี้เปรียบได้กับเวลาที่เราโดนแมลงกัดมักจะมีผื่นคันเกิดขึ้น เราก็ไปทายาเพื่อแก้อาการเหล่านั้น แต่ต้นไม้ไม่ได้มียาสามัญประจำบ้าน เมื่อถูกแมลงเจาะไชลำต้น สิ่งที่ต้นไม้ทำจึงเป็นการหลั่งสารขึ้นมาเพื่อเคลือบบริเวณที่ถูกแมลงเจาะเมื่อสารเคมีถูกหลั่งออกมาเคลือบบริเวณที่ถูกเจาะ เลยทำให้เกิดการพอกและกลายเป็นปุ่มปมในที่สุด อ่านแล้วเราคงคิดว่าแมลงไม่น่ามาเจาะต้นไม้เลย แต่เชื่อไหมว่าวิธีนี้แหละที่ทำให้เกิดไม้เศรษฐกิจที่ทำรายได้เข้าประเทศอย่างไม้กฤษณามาแล้ว การที่ไม้กฤษณามีกลิ่นหอมเมื่อได้รับความร้อนก็เนื่องจากสารที่หลั่งออกมานั่นเอง ที่ฉันตั้งชื่อบทนี้ว่าผา (ไม่) เดียวดาย ก็เพราะบริเวณผานี้มีสิ่งมีชีวิตตั้งมากมาย ทั้งไม้ใหญ่ ไม้อิงอาศัย พืชโบราณ สัตว์ที่อาศัยร่วมกันเป็นสังคมป่า ต่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน และปัจจุบันความนิยมในการท่องเที่ยวธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ผาเดียวดายในวันนี้จึงไม่เดียวดายเลย อากาศดีที่เขาเขียว “ใต้แสงตะวันตำนานเล่าขานสงครามเพลิงลุกลามเขาเกณฑ์ให้เป็นแมงเม่าชายคนนั้นกอดรัดพลัดพรากนงเยาว์ เขาซึมคนเศร้ามืดมนจน ผาตรอมใจ” นี่คือเพลงที่ขับขานเล่าที่มาของชื่อผาที่เราจะไปเยี่ยมเยือน เมื่อสำรวจเส้นทางธรรมชาติบริเวณผาเดียวดายเสร็จแล้ว เราก็กลับขึ้นรถเพื่อเดินทางไปที่จุดชมวิวที่สูงที่สุดในภาคกลาง “เขาเขียว (ผาตรอมใจ) ด้วยความสูง 4,233 ฟุตจากระดับน้ำทะเลทำให้จุดชมวิวแห่งนี้สามารถเห็นภูเขาร่มขวางอยู่เป็นแนวยาวและทิวทัศน์ที่สวยงามด้านจังหวัดปราจีนบุรี อากาศบนเขาเขียวนี้เย็นสบายแม้จะเป็นหน้าร้อน ด้วยเพราะมีลมหุบเขาที่เกิดจากลมบริเวณหุบเขาพัดขึ้นมาบนลาดเขาและยอดเขานั่นเอง สิ่งที่มองเห็นได้มากนอกจากต้นไม้แล้วก็คือไลเคน ทำไมจึงมีไลเคนมากมายบนผาตรอมใจแห่งนี้...เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศมีชีวิต...ไลเคน ไลเคน (Lichen) เป็นตัวอย่างความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน (Mutualism) ที่คุณครูสมัยมัธยมต้นของเรานิยมยกตัวอย่างให้เราเรียน ไลเคนเป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างเห็ดรากับสาหร่าย เห็ดราจะใช้ความชื้นและก๊าซออกซิเจนจากสาหร่ายในการดำรงชีวิต ส่วนของสาหร่ายจะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตจากเห็ดราในการสังเคราะห์ด้วยแสง การที่เราเห็นแผ่นสีเขียวๆบ้างมีกระจุกเป็นฝอยอยู่ตามต้นไม้ไม่ใช่เปลือกไม้ที่ลอกแตกแต่อย่างใด แต่นั่นคือไลเคนนั่นเอง เราใช้ไลเคนเป็นดัชนีวัดคุณภาพอากาศดีได้ เพราะไลเคนนั้นไวต่อสภาพอากาศที่เป็นพิษ หากพบไลเคนที่ไหนก็สามารถระบุได้ว่าที่แห่งนั้นมีอากาศบริสุทธิ์นั่นเอง ไลเคนที่ฉันพบมีสองบนเขาเขียวมีสายพันธุ์ คือ ผักกาดหน่อฟอง ลักษณะเป็นแผ่นๆคล้ายใบไม้ เป็นไลเคนที่จะพบได้เมื่ออากาศดี และสายพันธุ์ที่สองเป็นกลุ่มฟรูติโคส (fruticose) มีลักษณะเป็นเส้นสายหรือเป็นพุ่มเรียกว่าฝอยลม เป็นกลุ่มของไลเคนที่มีความอ่อนไหวต่อมลพิษทางอากาศมากที่สุด ดังนั้นไลเคนกลุ่มนี้จะสามารถพบได้ที่บริเวณยอดเขาสูงซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ การพบฝอยลมแสดงให้เห็นว่าอากาศที่เขาเขียวนี้ดีเพียงใด หลังจากสูดหายใจลึกๆเข้าไปให้ปอดได้รู้จักอากาศปราศจากมลพิษพร้อมกับถ่ายรูปคู่กับป้ายเขาเขียวแล้ว เราก็ออกเดินทางสู่จุดบริการนักท่องเที่ยวเพื่อแวะรับประทานอาหารและเตรียมตัวเดินป่า ระหว่างทางจะมองเห็นต้นตะเคียนทองต้นใหญ่และผ่านมาไม่ไกลนักจะมีศาลเจ้าพ่อเขาเขียวตั้งอยู่ให้คนที่สัญจรผ่านมาได้สักการะ บริเวณสองข้างทางนั้นจะมองเห็นแนวป่าที่เพิ่งถูกไฟไหม้ ฉันคิดว่าเป็นไฟป่าที่เกิดขึ้นเอง แต่เมื่อถามอาจารย์แล้วจึงได้ทราบว่าเป็นไฟป่าที่เกิดจากการเผาของเจ้าหน้าที่ ประการหนึ่งเพื่อให้สามารถควบคุมไฟป่าได้ เพราะหญ้าที่ขึ้นสูงในฤดูร้อนนั้นจะทำให้เกิดไฟป่าได้ซึ่งเราไม่ทราบว่าจะเกิดเมื่อใด หากเผาเองก็จะควบคุมไฟได้ง่าย ประการที่สองคือการสร้างแหล่งอาหาร เพราะเมื่อเผาหญ้าแล้วจะเกิดการระบัดของหญ้าขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งอาหารให้กับเก้งกวางต่อไป นอกจากนี้ยังมีการทำโป่งดิน แหล่งบุฟเฟ่ต์เกลือแร่ให้สัตว์กินพืชโดยการนำเกลือไปคลุกผสมดิน เพียงเท่านี้ก็จะได้สารอาหารที่สัตว์เหล่านี้หาไม่ได้จากพืชแล้ว เมื่อรับประทานอาหารกลางวันกันอิ่มแล้วฉันก็ออกมาเดินเล่นและมีโอกาสได้เจอกวางที่รอกินเศษมะม่วงจากพญากระรอก พญากระรอกนี้เป็นสัตว์ฟันแทะ จึงต้องหาอะไรมาแทะเพื่อลับฟันอยู่เสมอๆ ผลดีนอกจากสุขภาพฟันของพญากระรอกแข็งแรงแล้ว สัตว์กินพืชอย่างเจ้ากวางที่ฉันเจอยังได้กินผลไม้ที่มันเอื้อมไม่ถึงอีกด้วย หน้าร้อนนี้ต้องระวังเห็บกวางสักหน่อยเพราะจะมีเยอะเป็นพิเศษ เมื่อสังเกตบริเวณคอของกวางจะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนแผลสดอยู่ คุณป้าแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าแผลสดนั่นคือเริม ไม่ต้องทำแผลให้มันหรอกเพราะมันใช้แผลเริมนี้ในการหาคู่ เดินถัดมาไม่ไกลจากกวางก็จะเจอกับเม็ดสีดำๆกระจายอยู่ตามพื้นหญ้าลักษณะคล้ายกาแฟ อย่าเผลอเอาไปคั่วดื่มเชียวเพราะนี้คือระเบิด (อุจจาระ) ที่กวางถ่ายไว้ ยังเหลือเวลาพักในช่วงรับประทานอาหารกลางวันอยู่บ้าง ในขณะที่ฝนเริ่มโปรยและหนาเม็ดพวกเราจึงเลือกหลบฝนด้วยการไปซื้อของที่ระลึกจากร้านขายของฝาก เพื่อนๆบ้างได้หมวก บ้างเลือกซื้อเสื้อ ส่วนฉันได้ของฝากสำหรับตัวเองเป็นพวงกุญแจสีเขียวอ่อนซึ่งปัจจุบันยังห้อยติดกระเป๋าเป้ไว้เสมอ เมื่อหมดเวลาพักแล้วเราก็เตรียมตัวไปเดินป่ากัน ก่อนเดินป่าวิทยากรได้กล่าวต้อนรับและแนะนำประวัติความเป็นมาของอดีตผืนป่าดงพญาไฟแห่งนี้ รวมถึงแนะนำการเดินป่าในแต่ละฤดูที่จะได้พบกับธรรมชาติที่แตกต่างกันไป เช่น ฤดูหนาวนั้นจะได้เจอกับทะเลหมอกเหมาะแก่การมากางเต็นท์เพื่อรอชมแสงแรกของวัน ฤดูฝนแม้เฉอะแฉะไปบ้างแต่ต้นไม้ใบหญ้านั้นได้รับน้ำเต็มที่ จึงมั่นใจได้ว่าจะได้พบความเขียวชอุ่มชุ่มชื่นของพรรณไม้นานาชนิด รวมถึงสัมผัสกับน้ำตกที่น้ำไหลเย็นหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในน้ำ หรือแม้กระทั่งหน้าแล้งก็จะได้รับการต้อนรับจากดอกไม้ป่าที่แข่งกันเบ่งบานอวดดอกหลอกล่อแมลงให้มาช่วยผสมเกสรโดยมีน้ำหวานเป็นการตอบแทน ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นี้มีพิพิธภัณฑ์ให้ผู้สนใจได้เข้าชม ภายในแสดงประวัติความเป็นมาของเขาใหญ่ พรรณไม้ต่างๆ รวมถึงสัตว์ป่าที่พบในเขาใหญ่ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำซากมาสตาฟไว้ให้เราได้ศึกษา รวมถึงมีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายจากการประกวดให้ได้ชมกัน นอกจากได้เห็นภาพที่สวยงามแล้ว ยังได้รับสารที่ช่างภาพพยายามสื่อแทนสัตว์ป่าเหล่านั้นแก่มนุษย์อีกด้วย