กอดป่า ห่มหมอก จูบสายฝน-ตะลุยเขาใหญ่ในยุคโควิด-19 ตอน 1 (เกือบ) ปลายกรกฎาของปีแห่งโรคระบาด โควิด-19...(21-23 ก.ค.2563) การตัดสินใจออกเดินทางพักผ่อนนับว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างยาก ทั้งการวางแผน การเงิน การเดินทาง ที่พัก ล้วนต้องคำนึงความปลอดภัยของตัวเองและคนรอบข้างเป็นที่หนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าไอ้เจ้าโควิด-19 นี้มันทำให้เราใช้ชีวิตยากขึ้น แม้ตอนนี้สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังต้องระวังตัวกันอยู่ แหล่งท่องเที่ยวหลายที่ก็เริ่มเปิดตัวอีกครั้ง ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ป่าเขาลำเนาไพรก็ยังคงเป็น the best สำหรับนักเดินทางอย่างเรา ๆ เสมอ เขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติที่เราตั้งใจไว้ว่าต้องได้ไปเยือนสักครั้งในชีวิต และตอนนี้โอกาสก็มาถึงแล้วค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นอุทยานแห่งชาติที่กินพื้นที่ไปหลายจังหวัดแล้ว ผืนป่าแห่งนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย และที่บอกว่าโอกาสมาถึงนั้นก็เพราะว่าความเหนื่อยล้าจากการเรียนมันอัดอั้นจะถึงขีดจำกัดแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าสถานะทางการเงินของเราจะไม่ค่อยมั่นคงก็ตาม ฮ่า ๆ เราเป็นนักศึกษาปี 4 ที่กำลังทำวิจัย เราเลยถือโอกาสนี้ไปเก็บตัวอย่างดินสำหรับงานของเราด้วยซะเลย แต่การจะเก็บตัวอย่างดินหรือตัวอย่างใด ๆ ในเขตอุทยานฯนั้น เราต้องทำหนังสือขออนุญาตด้วยนะคะ รายละเอียดตรงนี้ไม่ขอพูดถึงดีกว่า บทความนี้จะเล่าถึงความสนุกในการ 'เดินทาง' ของเราเพียงเท่านั้น จากขอนแก่น ถึง เขาใหญ่ เราเลือกใช้รถไฟในการเดินทาง เนื่องจากสถานการณ์โควิด รถไฟบางขบวนก็ไม่วิ่ง เราต้องขึ้นจากสถานีขอนแก่นไปโคราช และขึ้นจากโคราชไปปากช่อง ถือว่าทรหดอยู่ไม่น้อยนะ รถไฟขอนแก่น-โคราช ขบวนรถท้องถิ่นที่ 416 ราคา 37 บาท ขบวนเช้าแต่เช้าไม่สุดเพราะมาเลทตั้งครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เลทเป็นปกติของรถไฟไทยค่ะ อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก ได้แต่ทำใจแล้วปลอบตัวเองว่า 'ไม่เป็นไร ฉันมันคนสโลว์ไลฟ์' ฮ่า ๆ บนรถคนไม่มากเท่าไหร่ นั่งเว้นระยะห่างได้ตามมาตรการป้องกันโควิด (มั้งคะ) วินาทีที่เสียงเครื่องจักรดัง ลมเย็น ๆ ก็พัดมากระทบผมหน้ามาให้แตกกระจาย แดดไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เพราะครึ้มฟ้าครึ้มฝนตามฤดูกาลของมัน เย็นเหมือนลมในฤดูหนาวแต่ก็แค่เหมือน จากสถานีขอนแก่น ผ่านกุดกวาง-ท่าพระ-หนองเม็ก-บ้านแฮด-บ้านไผ่-บ้านหัน และ...ก็ ป๊อก! ภาพตัดค่ะ หลับไปโดยไม่มีอะไรกั้น รู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่ชุมทางบัวใหญ่แล้ว นั่นก็หมายความว่าเราเข้าสู่เขตจังหวัดโคราชแล้วนั่นเอง ตื่นเต้นค่ะ หน้าตาสดชื่น อารมณ์แจ่มใส รถไฟวิ่งเอื่อย ๆ มีแต่เสียงเครื่องจักรกับสายลมเย็น เหมาะกับการอ่านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกขอบคุณตัวเองที่พกหนักสือมาด้วย เพราะนอกจากหนังสือแล้ว ที่พึ่งเวลาเบื่อตอนนี้เห็นจะไม่มีเลยค่ะ เพราะโทรศัพท์มือถือของเราพึ่งพังไปก่อนเดินทางแค่วันเดียว (ซึ่งความจริงก็ไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีใครให้ติดต่อ เลยไม่ซ่อมค่ะ ฮ่าๆ) เพื่อนซี้ที่มาด้วยกันก็ดันหลับเป็นตาย หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า 'ดอกไม้บนภูเขา เรื่องเล่าจากหมู่บ้านกะเหรี่ยง' เป็น 100 หนังสือดีที่เยาวชนไทยควรอ่าน เราหยิบ 'เค้า' ลงจากชั้นในร้านหนังสือได้สักพักแล้ว แต่ยังอ่านได้ไม่ถึงครึ่งเล่ม เป็นบันทึกเรื่องราวของคุณครูและนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลในจังหวัดกาญจนบุรี ความไร้เดียงสา ช่างถาม และแก่นเซี้ยวของเด็ก ๆ ชั้นประถม 2 เป็นตัวดำเนินเรื่องที่น่าติดตาม อ่านหนังสือเพลินใจไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนว่าอากาศจะเย็นขึ้นเรื่อย ๆ เย็นจนรู้สึกปวดหัว ประจวบเหมาะกับเนื้อความในหนังสือที่อ่านมาถึงตรงนี้พอดี หน้าหนา...สาวสวย คนรวยดอกนะที่อุ่นในเสื้อใหม่ ส่วนเรา เราบางคนมีเพียงกองไฟ ก่อไว้ให้อุ่นเนื้อเพื่อเอื้อปัน รถไฟโคราช-ปากช่อง ถึงโคราชประมาณ 11 โมงกว่า ๆ เกือบเที่ยง เราก็ซื้อตั๋วรภไฟไปปากช่องต่อเลย อย่ารอช้า รถเร็ว ขบวนที่ 136 ราคา 48 บาท มาถึงตรงเวลาแต่ออกช้าอีกตามเคย แต่ไม่เป็นไร เรามันคนสโลว์ไลฟ์ ขบวนนี้คนแน่นมาก ไม่แน่ใจว่าได้ใช้มาตรการป้องกันโควิด social distancing หรือเปล่า แน่นแบบ...หายใจแทบไม่ทั่วท้อง ส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัยแต่ไม่ใช่ทุกคน กว่ารถจะออกเหงื่อก็ชุ่มไปทั้งตัว อบอ้าวจริง ๆ ค่ะ เกือบบ่ายโมงหรืออาจจะบ่ายโมงเราก็ไม่แน่ใจ รถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานี ทั้งร้อนและแออัด จากโคราชไปภูเขาลาด-โคกกรวด-กุดจิก-สูงเนิน-โคกสะอาด-สีคิ้ว อากาศถ่ายเทดีขึ้น ลมเย็นขึ้น เย็นขึ้น และเย็นขึ้น ข้างทางเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของต้นไม้ ทุ่งหญ้า และทิวเขา ไม่เพียงแต่ลมหนาว จู่ ๆ หยดน้ำเม็ดโตก็เริ่มสาดซัดลงมา มีเม็ดหนึ่งตกแหมะลงกลางหน้าผากพี่ทหารที่นั่งตรงข้ามด้วยค่ะ (ไม่ต้องถามว่าเราจะขำไหม ก็มีบ้าง แต่ก็ของคุณพี่ทหารที่ช่วยปิดหน้าต่างรถไฟก่อนที่เราจะเปียกกันหมดค่ะ) มองออกไปทางด้านซ้ายของขบวนรถ จากสีเขียวที่เห็นก่อนหน้านี้ตอนนี้กลายเป็นสีขาวโพลนจนมองไม่เห็นอะไรเลย บ่งบอกว่าข้างนอกขบวนรถนั้นพายุฝนแรงแค่ไหน ข้างขวาเป็นภูเขา เหมือนทางรถไปจะตัดผ่านภูเขาเลยค่ะ เห็นน้ำฝนสีมอคค่าไหลลงตามไหล่เขาเป็นระยะ ๆ ทนอึดอัดในรถที่อากาศอบอ้าวไปสักพักฝนก็เริ่มซาลงกลายเป็นตกปรอย ๆ นึกถึงเพลงหนึ่งของพี่เสก โลโซ ที่เค้าร้องว่า 'วันนี้ฝนตก ไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้างไหมหนอเธอ เมื่อวันจันทร์ที่แล้วสองเรายังได้เจอ เธอ...ส่งยิ้มมา' ฝนตกมักทำให้เราคิดถึงใครบางคน อันนี้คือเรื่องจริงค่ะ พอถึงปากช่องฝนก็ยังไม่หยุดตก เดินลงจากสถานีด้วยความงุนงง เอาไงต่อดีหว่า จากการทำรีเสิร์ชมาหลายช่องทาง blogger หลายท่านบอกว่าต้องต่อรถไปที่เขาใหญ่อีก คุณลุงรถสองแถวคันแรกที่เห็นเราก็เข้าชาร์จเราทันที จ่ายค่าเสียหายไป 400 บาทถ้วน มารู้ทีหลังตอนจะกลับนี้เองค่ะว่ามีสองแถวที่เป็นสองแถวจริง ๆ จากปากช่องไปเขาใหญ่ 30 บาท จุกจนพูดไม่ออก ถึงหน้าด่านทางขึ้น เราเช่ารถมอเตอร์ไซค์มา 1 คัน วันละ 500 บาทไม่ต้องวางมัดจำ วางแค่บัตรประชาชนตัวจริง หมวกกันน็อคฟรี น้ำมันเต็มถัง เราเช่า 2 เจ้าของร้านใจดีมาก ลดให้เหลือวันละ 450 บาท พี่คงสงสารสองสาวนักศึกษาตัวดำ ๆ ที่หอบของมาเยอะเกินตัว จ่ายเงินวางบัตร จ่ายค่าเข้าอุทยานฯ อะไรเรียบร้อยเรากับเพื่อนก็บิดรถขึ้นเขามาอย่างทุลักทุเล หนึ่งคือฝนพึ่งหยุด ถนนเปียก ถนนลื่น สองคือของเยอะกระเป๋าแบ็คแพ็คใหญ่กว่าตัวคน และสามคือ นี่คือการขับรถขึ้นเขาเองครั้งแรกของเรา... ขับไม่เกิน 60 km/hr และใช้เกียร์ต่ำตลอดทางเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองและสัตว์ป่านะคะ ขึ้นมาถึงที่พักแล้วววว ลานกางเต็นท์ลำตะคอง...คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะเรามาวันธรรมดา ซึ่งถือว่าดีทีเดียว ไม่จอแจ ไม่แออัด เงียบสงบ (มั้ง...) ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในอุทยานฯ ราคาก็เป็นไปตามที่ blogger ท่านอื่น ๆ เคยเขียนไว้ เราเลยจะไม่ขอพูดถึงนะคะ แต่รับรองว่าราคาเป็นมิตรต่อเงินในกระเป๋าแน่นอนค่ะ การเดินทางวันนี้แสนจะเหนื่อย ขอพักไว้แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้จะมาเล่าต่อ 2 B continued.... ภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน photo by Me