เลิกงานช่วงเย็นเชื่อว่าสิ่งแรกที่หลาย ๆ คนเลือกที่จะทำน่าจะเป็นการออกไปหาของกินอะไรสักอย่าง ก็ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้วใช่ไหมคะ เราก็ต้องเติมพลังงานให้ตัวเองบ้าง! หลังจากคิดอยู่นานจนเวลาล่วงเลยไปประมาณทุ่มกว่า ซึ่งมันก็ค่ำแล้ว ถ้ากินอะไรหนักๆ เดี๋ยวน้ำหนักจะขึ้นเอา ยิ่งไม่ค่อยมีเวลาได้ออกกำลังกายอยู่ด้วย ในที่สุดเรากับเพื่อนก็ตัดสินใจชวนกันไปกิน "แจ่วฮ้อน" ร้านแจ่วฮ้อนที่เราไปนี้เป็นร้านที่เปิดช่วงกลางคืนชื่อร้านว่า "นัดพบ" และร้านนี้ก็เพิ่งเปิดมาได้ไม่นานนัก น่าจะสักปีกว่าๆ หรืออาจจะเปิดมานานกว่านี้ก็ไม่ทราบได้เพราะเราก็ไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไรนักเนื่องจากร้านอาหารที่เปิดแถวนี้มีหลายร้านพอสมควร ร้านแจ่วฮ้อนที่ว่านี้ตั้งอยู่บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ของตลาดลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรีค่ะ อยู่ติดริมถนนใหญ่ตรง 4 แยก ถ้าขับรถผ่านให้สังเกตหม้อแจ่วฮ้อนที่ตั้งอยู่บนรถเข็นของร้านนะคะ ก็จะสามารถมองเห็นได้ทันที พอไปถึงเราก็จอดรถมอเตอร์ไซค์ติดกับข้างร้านเลย (ลืมบอกไป ร้านแถวหน้าธนาคารนี้จะเป็นร้านแบบรถเข็นทั้งหมดนะคะ พอของหมดเขาก็จะเก็บร้านกลับบ้าน) มีโต๊ะหนึ่งที่กำลังนั่งกินอยู่ เราเลยไปนั่งโต๊ะถัดไป กลิ่นสันคอหมูย่างที่วางขายอยู่หน้าร้านลอยเข้าจมูกพอดียิ่งกระตุ้นความหิวที่มีอยู่แล้วให้ทวีคูณขึ้นไปอีก "แจ่วฮ้อนรวมหมูไม่เอาเครื่องในชุดนึงค่ะ" เพื่อนเราสั่งแล้วรีบเดินไปตักน้ำเย็นที่จุดให้บริการตัวเองมานั่งกินไปพลาง ๆ ระหว่างรอเราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับฟังเพลงแนวเพื่อชีวิตที่ร้านเปิดไปด้วย ระหว่างนั้นป้าเจ้าของร้านรถเข็นข้าง ๆ ก็ตะโกนด่าอะไรสักอย่างอย่างใส่อารมณ์ให้เราได้ยินเป็นระยะ ก็ถือว่ามื้อค่ำวันนี้บรรยากาศดีทีเดียว หลังจากนั่งดมกลิ่นหอมของน้ำแจ่วฮ้อนจากโต๊ะถัดไปอยู่สักพัก เจ้าของร้านก็ยกหม้อดินเผาพร้อมเตาไฟมาวางบนโต๊ะ ตามมาติด ๆ ด้วยชุดน้ำจิ้ม 4 ถ้วย ต่อด้วยชุดรวมหมูที่มีหมูสไลด์บางเรียงกันอย่างสวยงามพร้อมไข่แดงตรงกลางที่ถูกโรยด้วยงาขาวอีก 2 จาน จบด้วยจานชุดรวมผักที่มีผักบุ้ง โหระพา กะหล่ำปลี และวุ้นเส้น 1 หยิบมืออีกจาน เราไม่รอช้ารีบจัดแจงเอาผักแล้วก็หมูลงหม้ออย่างรวดเร็ว พร้อมกับหยิบวุ้นเส้นใส่กระบวยที่มีรูลวกเอาไว้แล้วปิดฝาหม้อ "น้ำแจ่วฮ้อนนี่จริง ๆ ก็เหมือนน้ำต้มยำเนอะ" เราหันไปคุยกับเพื่อนหลังจากสังเกตเห็นว่ามันมีเครื่องปรุงหลาย ๆ อย่างคล้ายกับต้มยำน้ำใส ไม่ว่าจะเป็นตะไคร้ ใบมะกรูด "แต่ต่างกันตรงที่แจ่วฮ้อนมันไม่เปรี้ยวเหมือนต้มยำแค่นั้นเอง" เพื่อนก็เออออไปกับเราด้วยเพราะต่างคนต่างก็ไม่รู้เรื่องแจ่วฮ้อนกันทั้งคู่ รวมถึงไม่ค่อยได้กินแจ่วฮ้อนกันเท่าไรนัก นานๆทีจะได้กินสักครั้งเพราะไม่ค่อยเจอร้านขายแจ่วฮ้อนแถวนี้สักเท่าไหร่ และด้วยความที่ต่างคนต่างหิว หมู 2 จานก็หมดลงอย่างรวดเร็วเหลือแต่ผัก เราเลยนั่งกินกะหล่ำปีที่ต้มเปื่อยอยู่ก้นหม้อจนหมด "คิดเงินหน่อยค่ะ" แจ่วฮ้อนหมดแล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านอาบน้ำนอน ขอจบการรีวิวแจ่วฮ้อนริมทางตรง 4 แยกลำนารายณ์ไว้แต่เพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่ค่ะ :)