อื่นๆ

เปียดำ เปียแดง ผีโหดอาละวาด

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เปียดำ เปียแดง ผีโหดอาละวาด

ย้อนไปสักห้าสิบกว่าปีสมัยแม่ยังเด็ก บ้านเมืองยังไม่เจริญไม่มีไฟฟ้า หมู่บ้านยังเต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ ความมืด เรื่องแปลกประหลาดและชวนสยอง บ้านห้วยสะพานอันเป็นที่เกิดของแม่ผู้เขียน ที่ขณะนั้นอายุราวสิบขวบป่าที่น่ากลัว

ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com

ยุคเวลานั้นไม่มีเทคโนโลยี ของเล่นจึงมีเพียงธรรมชาติ ก้อนดินปั้น ลูกหินใบไม้ตามประสา วันหยุดหรือหลังเลิกเรียนเด็กในหมู่บ้านจะมารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ร้องเล่นสนุกสนานจนบางทีผู้ใหญ่ต้องเอ็ดตะโร โดยเฉพาะในช่วงตรุษสงกรานต์ ผู้ใหญ่ตั้งวงดื่มสุราเฮฮา หนุ่มสาวถือโอกาสพบเจอเกี้ยวพาราสี แน่นอนว่ากลุ่มเด็ก ๆ อย่างแม่เมื่อจับกลุ่มรวมได้นับสิบคน ต้องหาพื้นที่ส่วนตัวเล่นจะได้ไม่ถูกดุ

ซึ่งที่ดังกล่าวก็คือลานตากข้าวอันเป็นที่โล่ง ๆ เรียบ ถูกฉาบด้วยดินจนสะอาดตาเพื่อวางฟ่อนข้าวในหน้าเก็บเกี่ยว ลานที่ว่านี้เป็นที่เด่นแต่ถูกล้อมรอบด้วยป่าทึบเรียกว่ามองไปมีแต่ต้นไม้หากหลงเข้าไปก็ยากที่จะหาเจอ วันนั้นแม่จำได้ดีว่าเป็นวันตรุษใกล้สงกรานต์ เวลาโพล้เพล้เงาไม้รอบ ๆ วูบไหวไปมาคล้ายผีโหยหวน เด็ก ๆ วิ่งกันคึกคัก ม้าก้านกล้วยถูกทำขึ้นและควบห้อโดยเด็กชายหลายคน บางคนไม่สวมเสื้อ ใส่เพียงกางเกง ตามแบบเด็กสมัยก่อน

Advertisement

Advertisement

กลุ่มเด็กผู้หญิงอย่างแม่ไม่ถนัดโลดโผน จึงเล่นขายของด้วยดิน สมมุติเป็นขนมตามจินตนาการ เพื่อนของแม่ชื่อ "อร" ทำทีเหมือนแม่ค้าท่าทางทะมัดทะแมง "อ้าวขนมครกจ้า...อร่อย ๆ " อรตะโกนเสียงดังราวกับขายจริง ๆ "เท่าไรจ๊ะแม่ค้า" เพื่อนหลายคนนึกสนุกร้องถาม "กระทงละสลึงเองจ้า" ขนมครกจากดินปั้นในกระทงใบไม้ถูกยื่นแลกเปลี่ยนกับเงินจากเศษใบมะยม ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานหัวเราะต่อกันประสาเด็ก ๆ

มีเด็กผู้ชายสองคนเดินเข้ามาขอเล่นด้วย "ให้พวกกูเล่นด้วยสิ นี่กูมีสตางค์เยอะนะ" ทั้งสองพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแววตาวาวเมื่อกระทบกับแสงไต้ที่ถูกจุดยามค่ำคืนมาเยือน พร้อมกับยื่นเศษใบไม้และเปลือกหอยทะเลสีสวย อรกับแม่เห็นก็ดีใจตาลุก "เอาซินี่ขนมครกยังร้อน ๆ " อรรีบยื่นขนมครกทันที เจ้าเด็กชายผมเกร็งที่ดูท่าทางโตกว่ารีบรับมา ทั้งสองก้มลงไปกินดินอย่างจริง ๆ จัง ๆ จนแม่และอรตกใจ "ถุยยยย!!! มึงหลอกกู เอาอะไรให้กูกิน” พวกมันตะโกนด้วยความเคียดแค้นเหมือนไม่เข้าใจวิธีเล่นแบบเด็ก ๆ จนอรสะดุ้งน้ำตาคลอ "มึงหลอกกู ๆ " เจ้าเด็กผอมไว้ผมเปีย ไม่ใส่เสื้อ นุ่งเพียงโจงกระเบน สีแดง และดำ ต่างพากันกระชากแขนอรด้วยความโมโห ถึงจะผอมปานหนังหุ้มกระดูกแต่แรงกลับมหาศาล อรจึงปลิวตามมือ "โอ๊ยย!!!"ผีเด็ก

Advertisement

Advertisement

ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com

อรร้องเสียงดังด้วยความเจ็บ จนได้ยินไปถึงกลุ่มเด็กชาย ซึ่งมีพี่สรพี่ชายของอรอยู่ พี่ชายรีบวิ่งมาดูด้วยความห่วง เห็นน้องถูกฉุดลาก จึงตรงเข้าผลักอีกฝ่าย ด้วยความที่ตัวใหญ่กว่า เด็กผอมสองคนล้มก้นจ้ำเบ้า ความโกรธเกรี้ยวเพิ่มเป็นทวี แรงลมกรรโชกโหมวูบวาบเงาของเจ้าเด็กนั่นส่ายร่ายรำเหมือนเปลวไฟพิโรธ ดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือด มันทั้งสองคว้าท่อน "ลูกแอก" เป็นท่อนไม้ขนาดพอมือแต่แข็งตัน ที่ชาวนาเอาไว้คล้องสลักวัวเทียมเกวียน กระหน่ำตีไปที่สรแบบไม่ยั้งด้วยความบ้าคลั่ง "ราวกับไม่ใช่คน ราวกับไม่มีหัวใจมนุษย์" เด็ก ๆ ที่ลานต่างกรีดร้องด้วยความตกใจ แม่ผู้เขียนวิ่งไปตามผู้ใหญ่อีกด้าน บัดนี้ร่างสรจมกองเลือด ดั้งยุบเป็นแผลฉกรรจ์ หน้าปูดบวม นอนหายใจรวยริน อรที่เข้าไปห้ามโดนตีทัดดอกไม้แน่นิ่งข้าง ๆ

Advertisement

Advertisement

คนตัวโตหลายคนวิ่งกรูเข้ามา "พวกมึงห้อมด้านหลังไว้ " เสียงที่ดุดันหนักแน่นสั่งการ ผู้ใหญ่ทุกคนช่วยกันต้อนจนเจ้าสองเด็กนรกนั่นเข้าตาจน มันหันรีหันขวาง รีบวิ่งเข้ากองฟางใกล้ ๆ "เสร็จกูล่ะ"เสียงผู้ใหญ่หลายคนตะโกนพร้อมกระโจนตะครุบกองฟาง แต่คุณพระช่วย!!! สิ่งที่พวกเขาจับได้กลับมีเพียงเศษฟางและความว่างเปล่า เจ้าเด็กผีพวกนั่นหายไปไหน? ทุกคนพากันตะลึงงัน กับสิ่งที่เจอ เมื่อจนปัญญาจึงพากันกลับมายังร่างไร้วิญญาณของอรและสร ด้วยความโศกเศร้า จากเหตุการณ์นั้นเด็กอีกหลายคนบาดเจ็บ ฟกช้ำ แข้งขาหักบ้างก็มี แม่ผู้เขียนโชคดีที่ไม่ได้รับอันตราย แต่ความร้ายกาจของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เหล่านั้นยังติดในความทรงจำชัดเจนหัวกระโหลก

ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com

และนั่นคือตำนานเรื่องจริงของสิ่งที่ในหมู่บ้านผู้เขียนเรียกว่า "เปียดำ เปียแดง" วิญญาณชั้นต่ำ เร่ร่อนสองดวง ที่อาละวาดไปทั่ว หลังจากนั้นเจ้าผีเด็กทั้งสองก็ถูกปราบโดยพระที่ชาวบ้านเลื่อมใสองค์หนึ่ง ปัจจุบัน เด็กผีเปียดำ เปียแดง ยังคงอยู่ที่วัดบางครั้งก็ออกมาแกล้งพระสงฆ์และแม่ชีให้ตกใจอยู่เนือง ๆ


ขอบคุณภาพปกจาก www.pixabay.com

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์