ประเทศไทยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยมากมายกระจายอยู่ในทุกจังหวัด แต่จังหวัดที่คนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นขอยกให้ จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีทั้งแม่น้ำ ป่าเขา น้ำตก เขื่อน อีกทั้งยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์นั่นก็คือ ทางรถไฟสายมรณะ และสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่นักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างชาติ ต้องไม่พลาดหากมาเยือนกาญจนบุรี แต่วันนี้เราขอพาเพื่อน ๆ ออกไปไกลกว่านั้น เรียกว่าแทบติดเขตชายแดนเลยละกัน ที่นั่นก็คือ อำเภอสังขละบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปราว 213 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว เราจึงใช้วิธีแวะนอนพักเอาแรงกันก่อนที่ อำเภอทองผาภูมิก่อน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางต่อสู่สังขละบุรี ก่อนถึงอำเภอสังขละบุรี เราจะผ่านจุดชมวิวป้อมปี่ ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เพื่อพักเหนื่อย ยืดเส้นยืดสายและชมทิวทัศน์ หลังจากนั่งรถกันมานาน จุดชมวิวป้อมปี่นั้นตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำของเขื่อนวชิราลงกรณ์ เป็นจุดที่ให้บริการทั้งร้านค้า ห้องน้ำ และลานกางเต็นท์ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างคืน ที่นี่จัดว่าเป็นสถานที่กางเต็นท์ที่มีความงดงาม และสะดวกสบาย แต่เสียดายที่คืนนี้เราจองที่พักกันที่สังขละบุรีเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นแม้ที่นี่จะสวยงามปานใด ก็ต้องตัดใจ และไปกันต่อค่ะ และแล้วเราก็ถึงที่พักของเราซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำซองกาเลีย สามารถมองเห็นฝั่งตรงข้ามคือ วัดวังก์วิเวการาม หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะนั่นเอง และในเวลาบ่ายเช่นนี้ ลำแสงจากฟากฟ้าสาดตกกระทบลงมาเหนือวัด และผืนน้ำดูสวยงามราวกับแดนสุขาวดี อำเภอสังขละบุรี อยู่ติดชายแดนไทยและพม่า จึงทำให้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม สิ่งนี้เองคือเสน่ห์ของที่นี่ อีกทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ เช่นสะพานมอญ หรือสะพานไม้อุตตมานุสรณ์ ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองสังขละบุรี มาจนถึงทุกวันนี้ จากสะพานมอญ เย็นนี้เราจะเหมาเรือล่องแม่น้ำซองกาเลีย ไปเที่ยวเมืองบาดาล ซึ่งเป็นเมืองเก่าของอำเภอสังขละบุรี ก่อนจะถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ แต่ก่อนที่จะไปเมืองบาดาล เรือพาเราไปจอดไหว้พระที่วัดสมเด็จ วัดเก่าแก่อีกแห่ง แต่วัดนี้ไม่ได้จมน้ำ เพียงแค่ถูกทิ้งร้างตั้งแต่เริ่มสร้างเขื่อนเท่านั้น จากนั้นก็ลงเรือไปต่อกันที่ วัดวังก์วิเวการามเก่า ที่ถูกน้ำท่วมเมื่อตอนสร้างเขื่อนเช่นกัน แต่ช่วงที่เรามาเป็นหน้าแล้ง น้ำลด เลยสามารถขึ้นมาเดินชมร่องรอยแห่งอารยธรรมแห่งนี้ได้ เรามาถึงช่วงเย็นพอดี บรรยากาศสวยงามมาก มีไอหมอก และควันจาง ๆ ยามเย็น ให้ได้สดชื่นหัวใจ วัดวังก์วิเวการามเก่าคงเหลือแต่ซากปรักหักพัง แต่กระนั้นก็ยังหลงเหลือความงดงามแบบขลัง ๆ และดูเก่าแก่เพราะจมน้ำมานาน แต่ก็ยังมีช่วงเวลาที่น้ำลดเผยให้เห็นความงามที่ซ่อนอยู่นี้แก่นักท่องเที่ยวทั้งหลายที่ดั้นด้นเพื่อมาสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งเมืองสังขละบุรี ในเช้าอีกวันเราก็กลับมาที่สะพานมอญอีกครั้ง เพื่อชมวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ที่ออกมาทำบุญตักบาตรกันที่สะพานแห่งนี้ ความน่ารักของเด็ก ๆ เจ้าถิ่นสร้างสีสันทำให้บรรยากาศยามเช้าดูสดใส จบจากสะพานมอญเราไปต่อกันที่ วัดวังก์วิเวการามที่สร้างใหม่ แทนวัดเดิมซึ่งถูกน้ำท่วมที่เราไปชมกันมาเมื่อวาน โดยวัดวังก์วิเวการาม เป็นวัดที่มีความสำคัญกับชาวสังขละบุรีมาก เพราะเป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิชื่อดังซึ่งเป็นที่เคารพ และศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย กระเหรี่ยง และมอญ ร่วมกับชาวบ้านสร้างขึ้นแทนวัดเดิมที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งสิ่งก่อสร้างภายในวัดเป็นการประยุกต์ศิลปะระหว่างไทย และมอญ จนกลายเอกลักษณ์สวยงาม มีเจดีย์พุทธคยาจำลอง ตั้งเด่นริมฝั่งแม่น้ำ และที่นี่ยังเป็นที่เก็บสังขารของหลวงพ่ออุตตมะให้ประชาชนได้กราบสักการะอีกด้วย ปิดการท่องเที่ยวสังขละบุรี เมืองชายแดนที่ไม่น่ากลัว แต่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ และความน่ารักของผู้คนท้องถิ่น แม้ต่างเชื้อชาติต่างภาษา แต่ทุกคนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ภายใต้ความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เป็นเสมือนมนต์ขลังสะกดใจให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย และทำให้การเดินทางของเราที่ยอมข้ามน้ำ ข้ามภูเขา หลายร้อยกิโลเมตร เพื่อมาสัมผัสเสน่ห์ที่นี่ ไม่ได้สูญเปล่า กลับสร้างความประทับใจให้ชวนคิดถึงอยู่มิรู้วาย ภาพประกอบโดยนักเขียน : เอมพลิโอ