กาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในภาคตะวันตก มีสถานที่เที่ยวมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โดยเหตุการณ์ที่ทำให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่รู้จักก็คือ เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นที่มาของสะพานข้ามแม่น้ำแควหรือที่เรียกกันว่าทางรถไฟสายมรณะนั่นเอง สุดสัปดาห์นี้เราเลยรวมแก๊งเพื่อน ๆ ชวนกันไปเที่ยวกาญจนบุรีกันหน่อย ถือว่าชาร์จแบตไปในตัวก่อนกลับมาทำงานกันต่อ ไม่รอช้าเนอะ..แพ็คกระเป๋าก้าวขึ้นรถไปกันเลยจ้า การเดินทางมาที่นี่มีมากมายหลายเส้นทางเลยคุณ ใครสะดวกมาทางไหนเอาเลยตามสบาย ใครจะแวะที่ไหนแวะเลย เรื่องเที่ยวไม่มีถูกผิด ยังไงก็ได้เที่ยวเหมือนกันเนอะ จะบอกให้นะบางทีความสนุกมันก็คือกิจกรรมระหว่างเดินทางด้วยนะ ซื้อของกินจนเต็มรถ แวะปั๊มเดี๋ยวแวะแล้วแวะอีก เปิดเพลงโปรดร้องกันไปในรถแข่งพลังเสียงกัน เฮ้ย..มันสนุกดีอ่ะ เราขับรถยนต์จากกรุงเทพใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะอาการชอบแวะของพวกเราเอง กาญจนบุรีเอาจริง ๆ ก็อากาศดีนะแต่ค่อนข้างร้อนไปหน่อย ถนนบางช่วงมีฝุ่นค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่เป็นไรพอไหว.. พวกเราไปแบบไม่ได้วางแพลนอะไรเลย รู้แค่ชื่อของที่พักกับหมุดที่เพื่อนส่งมาให้เพราะเราจองที่พักของ ออโรร่า รีสอร์ท กาญจนบุรี เอาไว้ก่อนเดินทาง ระหว่างทางก่อนจะไปถึงที่พักเราต้องผ่านสถานที่เที่ยวหลายที่ แต่ที่เราสนใจคือวัดถ้ำเสือ เห็นคนรีวิวกันเยอะเลยลงความเห็นว่าต้องไปดูด้วยตาตัวเอง บอกเลยว่าแค่จอดหน้าวัดนะ สวยมากจริง ๆ เราแวะไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันเสร็จแล้ว ตรงนี้มีจุดเช็คอินเด็ด ๆ ด้วยนะเดี๋ยวพาไป ขับรถออกจากวัดวนออกมาทางด้านหลังก็จะเจอกับ สะพานนาคาเฟ่ เป็นที่แรกที่เราแวะมาทานข้าวกันโดยได้วิวของวัดถ้ำเสือเป็นฉากหลัง ร้านนี้จะมีแบบนั่งในร้านเย็น ๆ กับออกมานั่งในกระท่อมด้านนอก บริเวณนี้มีร้านอาหารเครื่องดื่มค่อนข้างเยอะ เพราะถนนนี้เค้าตัดผ่านด้านหลังของวัด ตรงนี้เลยจะเป็นทุ่งนากว้าง ๆ ตลอดทั้งเส้นเราเลือกเอาได้เลยอยากได้ร้านไหน ส่วนตัวคิดว่าต้องมาช่วงเย็น ๆ หน่อยมาตอนเที่ยงบ่ายอากาศร้อนไป สำหรับเราคิดว่าอาหารเครื่องดื่มก็กลาง ๆ นะไม่ได้ว้าวอะไรมาก แต่ถ้าเอาวิวสวย ๆ ของทุ่งนามาหักล้างกันก็พอได้อยู่ หลังจากอิ่มมื้อกลางวันกันแล้วก็มุ่งหน้าไปจุดหมายของเรานั่นก็คือ ออโรร่า รีสอร์ท กาญจนบุรีจ้า.. ที่นี่ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองเลยนะ ไม่ไกลมากแต่จะอยู่ขอบเมืองหน่อย ริมแม่น้ำแควใหญ่เลยคุณ อยู่ห่างพวกร้านสะดวกซื้อ ประมาณ 8 กม.แต่ก็มีตลาดเล็ก ๆ ห่างจากรีสอร์ประมาณ 3 กม.จะเตรียมอะไรก็ตุนเอาไว้นะ แล้วเส้นทางที่แยกออกมาจากถนนใหญ่เข้ารีสอร์ทนั้นมันจะดูเล็ก ๆ งง ๆ หน่อยนึง แบบว่า เอ...ใช่ทางนี้มั้ยหนอ GPS จะจกตาเรามั้ยหนอ เราจะหลุดเข้าไปเมืองลับแลมั้ยหนอ แต่พอถึงแล้วนั้น.. โอ้..มันคือสวรรค์ของป่าดิบชื้นที่เราได้เต็มอิ่มกับธรรมชาติอย่างแท้จริงเลยนะ เอาดี ๆ มันสูดอากาศได้เต็มปอด พื้นที่กว้างขวางกำลังดี ยิ่งบริเวณริมแม่น้ำแควใหญ่นั้น โห..อากาศมันเย็น สดชื่น ได้ยินเสียงน้ำไหล ฟังแล้วมันทำให้เรามีพลังอ่ะ บริเวณนี้ทางรีสอร์ทเค้าจัดให้เป็นที่ประชุมสัมมนา หรือใครต้องการจะมาจัดกิจกรรมกินเลี้ยง ปาร์ตี้ใด ๆ บอกเลยตรงนี้เหมาะมาก ๆ นอกจากความเป็นส่วนตัวแล้ว พื้นที่ตรงนี้ยังมีห้องน้ำส่วนกลางแยกต่างหากไว้บริการและยังใกล้กับอาคารและครัวส่วนกลางอีกด้วย พอเราสำรวจพื้นที่กันเรียบร้อยแล้ว แก๊งค์เพื่อน ๆ ก็เดินเอากุญแจมาจากอาคารส่วนกลางพอดีเลย งั้นเราไปดูห้องพักที่เราจองไว้สำหรับคืนพิเศษคืนนี้กัน ห้องพักของพวกเราถือว่าเป็นทำเลทองเลยนะ จะเป็นห้อง B5 - B8 ลักษณะเป็น 4 ห้องติดกัน โดยห้อง B5 กับ B6 มีประตูข้างในห้องทะลุถึงกัน B7 กับ B8 ก็เช่นกัน แต่..ประตูเค้าล็อคได้จากทั้ง 2 ฝั่งนะ แม้แยกกันมา ก็จะตีเนียนทำมึนเปิดมาจ้ะเอ๋กันไม่ได้นะ แล้วที่บอกว่าทำเลทองน่ะหรอ คือด้านหลังจะติดกับสระว่ายน้ำทุกห้องเลยจ้า อันนี้ต้องยกผลประโยชน์ให้เพื่อนที่จองให้นะ เพราะรู้ใจพวกเรามาก จองจุดยุทธศาสตร์มาให้แบบนี้ น่ารักที่สุด รูปนี้ถ่ายออกไปจากในห้อง คือเปิดประตูด้านหลังเดินออกไป 10 ก้าว คุณจะหล่นลงสระน้ำเลย แถมด้านหลังเป็นที่แฮงค์เอ้าท์ที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้ มีโต๊ะเก้าอี้ให้เรียบร้อย ที่สำคัญนะวิวดี๊ดี คนนั้นมาเล่นน้ำ คนนี้มาเล่นน้ำ เราก็นั่งให้กำลังใจเค้าได้เลย แต่ละคนนะก็กรุบ ๆ พอให้ยิ้มในใจได้^^ ในส่วนของห้องพักนั้น วันเสาร์ราคาอยู่ที่คืนละ 1,200 บาท พักได้ 2 คน พร้อมอาหารเช้า ถือว่าราคากำลังดีไม่ถูกไม่แพงเกินไป วิวบรรยากาศโอเคมาก ยิ่งตอนกลางคืนนะ มันคืออยู่ท่ามกลางธรรมชาติเลยเว้ยคุณ สงบ อากาศเย็นสบายซึ่งมันหาไม่ได้ในเมืองหลวงอ่ะ มันคือการพักผ่อนอย่างแท้จริง ห้องนอนใหญ่มาก ทีวี ตู้เย็น แอร์ ไดร์เป่าผม เครื่องทำน้ำอุ่น อ่างอาบน้ำครบ เลือกได้ทั้งเตียงเดี่ยว เตียงคู่ และหลังจากที่เล่นน้ำ พักผ่อน ออกไปซื้อเครื่องดื่มของกินกันเรียบร้อยแล้ว เราก็มาดินเนอร์รวมกันที่ริมสระน้ำ ถ้าคุณซื้อกับข้าวมาไม่พอ ก็สามารถสั่งอาหารจากครัวของรีสอร์ทได้นะ ครัวที่นี่ปิด 3 ทุ่ม จาน ชาม ช้อนขอได้ ลืมเอามีดมาเรายังให้หน่วยกล้าตายไปขอยืมมีดมาหั่นผลไม้ ที่นี่บริการดียิ้มแย้มตลอด เดี๋ยวตอนเช้าเค้ามาเก็บเอง หรือใช้เสร็จเอาไปคืนเค้าเลยก็ได้ ครัวเค้าจะได้ล้างเก็บเป็นระเบียบกว่าเนอะ นั่งกันไปซักพักเริ่มอิ่มกันแล้วก็ถึงเวลาสำคัญของพวกเรา นี่เชื่อว่ากลุ่มเพื่อนหลาย ๆ คนก็เป็นแบบนี้ เหมือนหลังเบรคโฆษณาก็เข้าสู่ช่วงเพื่อนเปิดใจ นั่นคือการล้อมวงกันในแก๊งค์เพื่อนพูดคุยกัน อัพเดตเรื่องราวของกันและกัน ใครมีของขวัญอะไรพิเศษก็เอามาให้กัน ใครมีอะไรอยากเล่า เพื่อน ๆ ก็พร้อมรับฟัง จริง ๆ แล้วช่วงนี้ก็เอาไว้เชื่อมความสัมพันธ์แหละ บางครั้งก็ใช้เป็นสนามในการปล่อยมุกตลกกัน เชื่อมั้ยคุณ..เรานั่งคุยกันถึงตี 3 แน่ะ นี่ถ้าไม่ยอมไปนอนกันนะ อีกแปบว่าจะชวนไปเป็นลูกศิษย์วัดเดินตามพระบิณฑบาตรแล้ว ไม่ง่วงกันหรือไงห๊ะ! สุดท้ายก็ได้ราตรีสวัสดิ์กันซักที... ถึงจะนอนดึกแค่ไหน ถึงจะงัวเงียยังไง พอเช้ามาพวกเราก็ไม่พลาดเรื่องกินอย่างแน่นอน เวลา 07.00 - 09.30 น. เอาตรง ๆ บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าของที่นี่เว่อร์วังอลังการอยู่นะ ที่เจอส่วนมากจะเป็นข้าวต้มขนมปังกาแฟ แต่ที่นี่จัดอาหารมาประมาณ 20 อย่าง เป็นอาหารหลัก รอง ของว่าง เครื่องดื่ม ขนม ผลไม้ จากง่วง ๆ อยู่หายง่วงกันเลยจ้า เห็นของกินเยอะขนาดนี้ ที่สำคัญนะ ความอร่อยต้องให้เค้าเลย มีความละมุนรสชาติกำลังดี อาหารมาเติมให้ตลอด แล้วหลังจากชิมเกือบทุกเมนูจนอิ่มแล้ว ส่วนตัวเรามอบรางวัลให้ แกงเขียวหวานไก่(ยกนิ้วให้เลย พริกแกงเขียวหวานผสมแกงแดงนิด ๆ เข้มข้นเต็มไปด้วยสาระของไก่เน้น ๆ ไม่ได้มีแต่มะเขือเด้อ) ต้มจับฉ่าย(หวานนิดเค็มหน่อยอร่อยมาก ต้มเปื่อยเหมือนตื่นมาต้มก่อนพวกเรานอนซะอีก) ปาท่องโก๋(สูตรเฉพาะเค้าเลย นุ่มหนึบคลุกด้วยข้าวพองใบเตย กรุบกรอบกำลังดี) น้ำจับเลี้ยง(อร่อยชื่นใจไม่หวานมาก ต้มเองแน่นอน) และแตงโม(เนื้อแน่นไม่เป็นทราย สีแดงหวานฉ่ำ พวกเราเรียกกันว่าแตงโมป่า) ต้องบอกว่า 5 รายการนี้คือ Top 5 ในดวงใจเลย แต่อย่างอื่นก็อร่อยนะเดี๋ยวจะน้อยใจกัน นั่งกินนั่งคุยกันจนอิ่ม แล้วก็ไปเล่นน้ำต่อจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยงที่เราต้องเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักกันแล้ว แอบใจหายนิดนึงนะ เหมือนมันยังมาไม่คุ้มอ่ะ หรือเพราะยังง่วงอยู่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ถ้าได้ค้างอีกซักคืนคงจะดีไม่น้อย แต่ก็นะไว้ทริปหน้าคงได้มาเยือนที่ ออโรร่า รีสอร์ท กาญจนบุรี อีกซักครั้ง สรุปทริปนี้เราเสียค่าใช้จ่ายตกคนละพันนิด ๆ เองนะ(ราคาไม่รวมแอลกอฮอล์นะจ้ะ)ถือว่าสบายกระเป๋านะทริปนี้ ก่อนเราจะมุ่งหน้ากลับกรุงเทพ เราจะโบกมือลาจังหวัดกาญจนบุรี โดยที่ไม่ไปแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ได้อย่างไร เราเลยไม่พลาดที่จะเก็บรูปที่เป็นเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์อย่างสะพานข้ามแม่น้ำแควมาฝากด้วยนะจ้ะ นอกจากเที่ยวสะพานแล้วร้านอาหารแถวนี้ก็ขึ้นชื่ออยู่นะเรื่องความอร่อย หรือจะเดินซื้อของฝากพวกเครื่องประดับ พลอยสวย ๆ ราคาไม่แพงเพียบเลย สำหรับพวกเราการออกไปเที่ยวนั้น ทุก ๆ ช่วงเวลามันมีความสวยงามและความประทับใจในแบบของมันตลอดนะคุณ การได้เดินทางไปในที่ต่าง ๆ ร้องเพลง นั่งคุยนั่งเม้าท์ หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป หยอกล้อกันระหว่างเพื่อน หรือจะอะไรก็ตาม มันคือความทรงจำที่ดีเลยล่ะ อยากให้คุณลองไปเที่ยวดู บางที..จุดหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการเดินทาง บางที..เที่ยวที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับเที่ยวกับใคร ลองไปใช้ชีวิตในแบบที่เราเป็น ความสุขมันหาไม่ยากหรอกนะถ้าเราเข้าใจมันจริง ๆ แต่ตอนนี้บอกเลยว่าง่วงนอนมากกก ตี 3 เมื่อคืนเริ่มทำพิษ ขอตัวไปนอนก่อนแล้ว ทริปหน้ามีที่ไหนเด็ด ๆ วีจะรีบโกอิ้งมาเล่าให้ฟังอีกแน่นอน ส่วนตอนนี้หรอ คร่อกกก...ฟี้