ปลายปี 2018 เราถูกเลิกจ้างด้วยเหตุเพราะนายจ้างมีพนักงานใหม่ หนุ่มกว่าทั้งกำลังวังชาและสมอง สภาพตอนนั้นเหมือนฟ้าถล่ม จากความหวังที่พอมีรายได้เลี้ยงครอบครัว ทั้งเศร้าและวิตกจริต ความมั่นใจหายไป แม้ว่าทางบ้านจะเข้าใจ แต่คนที่เคยเป็นเสาหลักต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็ยากทำใจ แล้ววันหนึ่งเหมือนใครบนฟ้าชี้ทาง มีเป็ดไล่ทุ่งจากจังหวัดอื่นมาเลี้ยงใกล้ ๆ ซึ่งเป็นนาที่เกี่ยวข้าวแล้ว หลังจากกินข้าวหลง ปลาเล็ก ๆ ลูกหญ้าจนหมด (นึกภาพฝูงตั๊กแตนที่ลงจนเหี้ยนเตียน) เป็ดพวกนี้จะถูกต้อนขึ้นรถ เพื่อไปยังที่อุดมสมบูรณ์กว่า ไม่กลับมาจนกว่าจะปีหน้า และด้วยความที่เป็ดหลายพันตัว นับด้วยสายตาน่าจะ 3,000-4,000 ตัว การจะกลับไปครบทุกตัวจึงยากและเสียเวลา แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ มีเป็ดหลงอยู่ร้อยกว่าตัว จะปล่อยไว้ก็เป็นเหยื่อ หมา งู และตัวเห้ พวกเราจึงตัดสินใจต้อนมาไว้ในไร่ และเรียกตัวเองเล่น ๆ ว่า “ฟาร์มเป็ดฟ้าประทาน” เหมือนทุกอย่างต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่หมด ตั้งแต่การให้อาหาร การวางไข่ใส่แผงยังไงให้น่าซื้อ เป็นทริกเล็กๆ “แค่เอาตูดไข่หงายขึ้น ไข่จะดูใหญ่น่ากิน” (เพิ่งรู้จริง ๆ ) รอยยิ้มและน้ำใจกับลูกค้าเป็นการสร้างคอนเน็คชั่น แบบยั่งยืนที่สุด แต่ก็มีหลายครั้งที่ไม่เป็นไปอย่างคาดหวัง เป็ดไม่ออกไข่ ได้แต่นั่งท้อเพราะขาดทุนค่าอาหาร เราได้แต่มองดูเป็ดด้วยความอิจฉา “พวกแกนี่มีความสุขจังเลยนะ แค่กิน นอน เล่นน้ำ ออกไข่” เรามองเป็ดขณะพวกมันวิ่งส่ายก้นดุกดิก ๆ จนในเช้าวันหนึ่งเคราะห์กรรมมาเยือนฝูงเป็ด ทั้งหมา งูเหลือม ตัวเงินตัวทอง ต่างมารุมลากไปเป็นอาหาร บางตัวรอดมาได้แต่ขาเป๋ ปีกหัก แต่พวกมันก็ยังดิ้นรนเอาชีวิตรอด นั่นแหละเราจึงเกิด พุทธิปัญญา ว่า “เราทุกคน มีความทุกข์ที่แตกต่างกันไป เป็ดก็ทุกข์แบบเป็ด คนทุกข์แบบคน อาจไม่มีความสุขแท้จริง มีแค่ทุกข์มากหรือน้อย” ทุกคนในครอบครัวจึงตัดสินใจ รวมพลังฮึดสู้อีกครั้ง ท้อก็ค่อย ๆ เดิน เหนื่อยก็พักหายใจ ล้มลุก คลุกฝุ่นก็มีครอบครัวเป็นกำลังใจ ถึงวันนี้แม้ทุกอย่างจะดีขึ้น มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวบ้าง ถ้าเป็นหนังมันคงเป็นตอนจบแบบ Happy ending แต่นี่คือชีวิตจริง ที่ยังต้องดิ้นรนต่อไป จนหมดลมภาพทั้งหมดโดย ชาตรีแก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน ภาพปกโดย Dighini www.pixabay.com