อิสรภาพที่เราได้อ้าแขนตีปีกออกจากโลกสังคมนิยม มาโลดแล่นอยู่ในจังหวัดที่มากด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพ ห้วงเวลาที่มาเสพความสุข กับวัฒนธรรมกับธรรมชาติที่สวยงาม บางคนอาจนำช่วงเวลานี้ไปอวดโลก โซเชียล แต่บางคนอาจจดจำที่นี้ ได้จนสุดลึกของหัวใจ ความสนุกในปี2015ของฉันเริ่มต้นตั้งแต่ผูกเชือกรองเท้า แล้วก้าวเท้าออกมาจากประตู พร้อมไปปะทะสังขละบุรี จังหวัดที่ทุกคนที่มาเยือนต้องถูกกุมหัวใจ “เมืองสามหมอก ดินแดนสามวัฒนธรรม” คือคำขวัญ ของ สังขละบุรี คือมีทั้ง ไทย มอญ กะเหรี่ยง มีสะพานไมอุดมานุสรณ์ เป็นสัญลักษณ์เด่น ที่ใครมาก็ต้องมาเยือน สะพานไม้ที่ยาวที่สุดอันดับ2ของโลกแห่ง สังขละบุรี เป็นอำเภอที่ติดชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมือง กาญจนบุรี ประมาณ 215 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอ ทองผาภูมิ 74กิโลเมตร ระยะเวลาการเดินทางเกือบ6 ชั่วโมงเลยทีเดียว สำหรับการนั่งรถหวานเย็นไปสังขละ (รถพักให้ทานอาหาร) สุดคุ้มที่ได้มองบรรยากาศ ภายนอกหน้าต่าง กับอากาศที่เย็นๆคล้ายมีเครื่องปรับอากาศอยู่ข้างๆ ตื่นเต้นทุกครั้งที่รถเลี้ยวทางผ่านเขา หรือขึ้นเขา เส้นทางที่โต้งทำให้ลุ้นจนตัวโก่ง ว่าหวานเย็นคันนี้จะผ่านไปได้ไหม เมื่อถึงจุดจอดรถก็เป็นเวลาเกือบพลบค่ำท้องฟ้าเริ่มมืด มีแสงสีชมพูของแสงพระอาทิตย์ปะปนอยู่ ตำแหน่งที่พักสามารถ สอบถามจากวินมอเตอร์ไซค์บริเวณนั้น เมื่อเดินไปตามเส้นทางที่พี่วินบอก จะมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น เดินเข้ามาบอกทางอยู่เป็นระยะๆ ที่พักส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บริเวณสะพานมอญ ที่พักที่เลือกคือพีเกสฅ์เฮ้าส์ราคาย่อมเยาว์พนักงานให้บริการดีมาก ถ้ามีเต้นท์สามารถติดต่อทางโรงแรมได้เลย ราคานั้นถือว่าถูกมากๆ ในราคาคนละ 50 บาทต่อคืน สามารถเลือกจุดที่ตั้งเต้นทํได้ ห้องน้ำรวมสะอาดและดูดีมาก เมื่อต้องการรถมอเตอร์ใซค์เช่า ทางโรงแรมก็จะประสานงานให้โดยจ่ายวันละ 200 บาท เมื่อ ทำทุกอย่างเสร็จก็ออกเดินทางไปกินข้าวที่ตลาดมืดอยู่ห่างจากที่พักไม่ไกลมากขี่รถห้านาทีก็ถึง ตอนนั้นเวลา20.30น. บ้านเรือน ถนน หนทาง เงียบมากในตลาดมืดร้านทุกร้านเตรียมเก็บของ ตลาดที่นี่จะปิดเร็วมาก แต่เมื่อเดินไปท้ายตลาดก็จะเห็นร้านที่มีคนนั่งและมีหมูเสียบไม้วางไว้ในหม้อใหญ่ๆ เรียกว่า จิ้มจุ่มมอญ ราคาน่าดึงดูดใจมากคือไม้ละบาท รสชาติคล้ายหมูต้มพะโล้ไทยนี่เอง มีน้ำจิ้มให้สองอย่างรสชาติไม่ต่างกันมากนักคล้ายน้ำจิ้มสุกี้ ร้านทุกร้านคนจะเยอะมาก มีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เมื่อรับประทานเสร็จก็เลือกของทำบุญตักบาตรได้ในร้านสะดวกซื้อ ตื่นตีห้าครึ่ง ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินทางไปตักบาตรที่สะพานมอญอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก ขี่มอเตอร์ ไซด์มาแค่ 5 นาที ก็จะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยว แม่ค้าชาวมอญขายชุดตักบาตรในราคา90บาทต่อชุด เดินจนสุดปลายไม้สะพานมอญ ก็จะพบชาวมอญนั่งคอยพระใส่บาตร เมื่อพระมาถึงก็จะยืนอฐิษฐานจิตเพื่อเป็นการ ให้พรแก่ผู้ที่มาทำบุญตักบาตร ชาวมอญและนักท่องเที่ยวจะยืนเรียงตักบาตรแถวยาวเป็นระเบียบ มีพระหลายรูป วัฒนธรรมของชาวมอญคือต้องก้มลงกราบพระ และลุกขึ้นมาตักข้าวโดยทัพพีที่เตรียมไว้ แล้วนำขึ้นเหนือศีรษะแล้วค่อยตักใส่บาตรพระ ตักบาตรเสร็จพระอาทิตย์ก็เริ่มส่องแสงแต่อากาศก็เย็นมากยิ่งอยู่ใกล้แม่น้ำก็ยิ่งหนาว เดินตามเส้นทางถนนเข้าไปในเขตพื้นที่ชาวมอญก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารราคาไม่แพงอย่างที่คิดคุณยายที่นั่งตักบาตรด้วยกันบอกว่าที่นี่อยู่แบบวิถีพอเพียง ร้านอาหารก็จะมีตั้งแต่ โจ๊ก ขนมจีนหยวกกล้วย ข้าวต้ม โรตีทอด กาแฟร้อนโอวัลตินร้อน และถ้าเดินไปเลี้ยวซ้ายตรงไปเรื่อยๆก็จะเจอตลาดวัดวังก์ หรือตลาดเช้า เป็นตลาดสดของชาวมอญขายตั้งแต่สากกะเบือกันเรือรบ เป็นตลาดที่หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ชาวมอญค้าขายกัน และป้องกันการเอารัดเอาเปรียบจากผู้อื่นตลาดตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน (ฝังมอญ) เริ่มจำหน่ายเวลาตี 5-9 โมงเช้า เวลาสายก็เดินทางไปเจดีย์สามองค์ในอดีตเป็นเพียงกองหินที่ชาวบ้านนำมาวางไว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินทางผ่านไปยังพม่า จนกระทั่งปี พ.ศ. 2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรี นำชาวบ้านมาช่วยก่อให้เป็นเจดีย์ เจดีย์สามองค์จึงเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของจุดข้ามพรมแดนก่อนเข้าเขตประเทศพม่าต้องทำใบคนผ่านเข้าเมือง(นักท่องเที่ยว ไปเช้า-เย็นกลับ) รวมทั้งหมดก็50 บาท ระหว่างทางได้คุยกับเด็กสาวพม่าคนหนึ่งน่ารักมาก และพูดภาษาไทยเก่งมากๆ น้องบอกว่าทำงานที่ไทยมาหลายปี ที่บ้านพ่อกับพี่ชายสามารถพาไปเที่ยวได้ สนใจไหม ด้วยความที่เรามากันสามคนเลยไม่กลัวอะไร ก็น่าจะสนุกถ้ามีคนท้องถิ่นนำเที่ยว การนั่งมอเตอร์ไซค์ครั้งนี้เราตกลงกันคือพาไปไหนก็ได้เหมาหนึ่งวันในราคา250 บาท วัดแรกเป็นวัดเสาร้อยต้นสร้างเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มี3 ชั้น ชั้นบนสุดห้ามผู้หญิงขึ้นไป วัดนึ่หลวงพ่ออุดตมะเคยสร้างไว้ และเคยจำพรรษาที่นี่ เป็นวัดที่ใช้เสาทั้งต้น จากไม้แดง จำนวนมากถึง 105ต้นสามารถเข้าไปสักการะพระประธานได้สัดสวยงามมาก ทั้งที่เป็นพื้นที่ไม่ เจริญแต่คนพม่ามีพลังศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก จึงทำให้ทุกวัดของที่นี้ถูกสร้างได้สวยงามมาก ในระหว่างทางก็จะพบก็พระพุทธรูปจำนวนมาก ถนนดินแดงเป็นเส้นทางรุกรังแต่ก็ไม่ลำบากอะไรมาก ต่อไปเป็นวัดเจดีย์ทอง สถานที่ตั้งอยู่บนเขา “พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง จำลอง” บันไดหลายขั้นมาก เมื่อขึ้นไปจะพบกลุ่มเด็กนักเรียนหญิง พวกเขาจะเข้ามาทำความสะอาดวัด และตักนํ้าเพื่อให้เจ้า อาวาสอาบนํ้า เจ้าอาวาสวัดนี้อายุมากกว่า1 00ปี สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงแต่ประชาชนชาวพม่าก็ให้ความเลื่อมใสมาก วัดถัดไปห่างไม่ไกลมาก"วัดตองไว" หรือวัดหลวงพ่อทันใจเป็นวัดที่ถูกสร้างจากเงินกฐินชาวมอญ เป็นวัดที่ใหญ่มากเพราะสร้างเพื่อเป็นโรงเรียนให้แก่เด็ก วัดสุดท้ายเป็น“พระพุทธไสยาสน์เจาทัดยี” วัดพระนอนหรือพระนอนตาหวาน เมื่อสังเกตปลายเท้าจะมีช่องประตูให้เขาไปด้านในของพระพุทธรูปที่ถูกทำให้มีสักษณะเหมือนถ้ำภายในมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ทำจากปูนปราสเตอร์หลากสีสันเรียงสวยงาม มีภาพวาดฝาผนัง และมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ให้กราบไหว้ สถานที่ท่องเที่ยวที่กลุ่มคนไทยและคนมอญนิยมมาพักผ่อนคือนํ้าตกช่องส่ง อยู่ลึกเข้าไป สวยงามมาก น้ำสีเขียวอมฟ้า ประทับใจมากที่น้ำตกสะอาด สีสวยและน้ำเย็นมาก อย่ามัวให้ความฝันการเดินทางอยู่ในกรอบความคิด คิดจะเที่ยววางแผนแล้วลุยให้สุด ทุกครั้งที่เริ่มเดินทางคุณจะพบกับมิตรภาพระหว่างทาง การมาเยือนสังขละครั้งนี้มันอยู่เหนือกว่าความประทับใจ วัฒนธรรมที่ดียังคงอยู่ธรรมชาติที่ยังไม่แปรเปลี่ยนเป็นแหล่งธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ทำให้สังขละเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เข้มแข็งไม่สลายไปตามกาลเวลาจริงๆ .