E20 เต็มถังครับ จ่ายเงินเสร็จเป็นที่เรียบร้อย การเดินทางของเราครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยิน เมืองในม่านหมอก เราเองก็เช่นกัน จึงอยากจะสัมผัสสักครั้งในชีวิต ถนน 399 โค้ง จะเป็นที่ไหนไม่ได้ " ปิล็อก หมู่บ้านอีต่อง " จังหวัดกาญจนบุรี ปิล็อกคือชื่อเหมืองแร่ ในอดีตกาลเคยเป็นเหมืองแร่ที่เฟื่องฟูรุ่งเรืองมาก ๆ ทำให้ในบริเวณรอบ ๆ มีเหมืองที่เปิดตัวขึ้นอีกหลายแห่ง แต่ในความรุ่งเรืองก็มีความโรยรา เหมืองแร่ปิล็อกได้ปิดตัวลงในเวลาต่อมาเนื่องจากราคาแร่โลกที่ตกต่ำ ทิ้งไว้เพียงซากรถ เครื่องจักรเก่า ๆ ที่เป็นเครื่องบันทึกว่าครั้งหนึ่งได้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นี่ ด้วยประวัติของที่นี่ จึงเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาอย่างไม่ขาดสาย ในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวได้แวะเวียนมาสัมผัสบรรยากาศอันเงียบสงบ ของหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและมนต์เสน่ห์ อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเราเดินทางถึงที่หมาย บรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยสายหมอกทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเลย สำหรับคืนแรกเราได้นอนกันที่โรงเรียนเพียงหลวง 3 ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน เราวางกระเป๋า แล้วเตรียมทำอาหารมื้อค่ำ เราทำสุกี้หมูกินกัน นั่งรับลมเย็น ๆ แรง ๆ โดยไม่กลัวหน้าชาแต่อย่างใด เมื่อเราทานมื้อค่ำกินอิ่มแล้ว เราไม่ได้เดินสำรวจความสวยงามของหมู่บ้านในยามค่ำคืนเลยน่าเสียดายยิ่งนัก เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นในเช้าวันที่สอง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เริ่มจัดแจงทำอาหารเช้ากัน พวกเราจึงล้างหน้าแปรงฟันและเดินทางไปยังจุดเช็คอินที่พลาดไม่ได้ นั่นคือ เนินช้างศึก การเดินทางค่อนข้างลำบากแต่ไม่ยากเกินไป ด้านบนลมแรงมาก ๆ มีหมอกลอยอยู่บนหัวให้เราได้คว้าได้จับ สนุกดีครับ และชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าเป็นภาพที่ประทับใจมากครับ เราขับรถลงมาเดินชมหมู่บ้านต่อ เราเดินถ่ายรูปกันและแน่นอนไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปชมเหมืองแร่ เมื่อเราเดินเข้าไป เหมือนต้องมนต์สะกด เราได้พบซากรถโบราณ และเครื่องจักรที่ผุพัง ทำให้เราพอเดาได้ว่าอดีตเหมืองแห่งนี้เป็นเช่นไร บ่อน้ำที่น้ำใสสะอาดมองเห็นปลาแหวกว่ายกันอย่างมีความสุข เมื่อเราออกจากเหมืองเราเดินลัดเลาะไปตามทางในหมู่บ้าน พบวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สงบ และจุดเช็คอินที่สำคัญ คือ ด้านหน้าหมู่บ้านจะพบสะพานซึ่งจะมีป้ายไม้สำหรับเขียนข้อความไว้บริการนักท่องเที่ยว เอาไว้จารึกและผูกติดกับราว ทำให้นึกถึงบรรยากาศคล้าย ๆ เกาหลีเลยแหล่ะ เราถ่ายรูปอยู่จุดนี้ค่อนข้างนานก่อนจะเดินหาร้านข้าวกัน ข้าวไข่เจียวหมูสับเป็นเมนูง่าย ๆ ที่แสนอร่อย หลังจากนั้นเราเก็บสัมภาระขึ้นรถ เตรียมเดินทางไปยัง " น้ำตกจ๊อกกระดิ่น " ทางเข้าน้ำตกเป็นทางลาดชัน ผู้ขับขี่ควรขับด้วยความระมัดระวัง เราจอดรถเดินเท้าเข้าไปต่ออีกไม่ไกล ก็พบความสวยงามและความเย็นฉ่ำของสายน้ำ ที่เทลงมายังด้านล่าง ผู้คนเล่นน้ำกันจนลืมไปเลยว่านี่เป็นฤดูหนาวนะ เวลาแห่งความเย็นฉ่ำหมดลง เราขับรถมุ่งหน้าตรงไปยัง " อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ " เพื่อกางเต็นท์เป็นคืนที่สองของทริปกาญจนบุรี จ่ายค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานเสร็จเรียบร้อย ขับรถตรงไปยังลานกางเต็นท์ จะมีสองฝั่งให้เราเลือกกางได้ ฝั่งเนินกุดดอย และฝั่งเนินช้างเผือก ตรงนี้เลือกกันได้ตามใจชอบเลยนะ ปักสมอเป็นที่แน่นหนา ขึงผ้าฟรายชีทป้องกันน้ำค้างในตอนกลางคืน ก็เริ่มทำอาหารมื้อค่ำกัน เสียงสนทนาที่คุยกันอย่างสนุกสนาน บวกกับการขับกล่อมของสายลม ทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย เรานั่งคุยกันอยู่นาน พอเริ่มค่ำเราก็แยกย้ายไปอาบน้ำ แต่ถึงอย่างนั้น วงสนทนาหาได้สิ้นสุดลง สำหรับเพื่อน ๆ ท่านไหนที่ไม่สะดวกนำอาหารมาทำ ด้านหน้ามีร้านค้าสวัสดิการคอยบริการนักเที่ยวด้วยนะครับ ขนม เครื่องดื่มมีเพียบ ไม่ต้องกลัวอดนะ พระอาทิตย์ส่องแสงยามเช้าของวันที่สาม เราเริ่มเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมเดินทางกลับ ระหว่างทางกลับเราได้แวะทานอาหารกันที่แพข้างทางเป็นลำธารไหลผ่าน มีชาวบ้านและแม่ค้ารอคอยบริการนักท่องเที่ยวด้านอาหาร เรื่องตลกและน่าอายสำหรับเราเกิดขึ้นที่นี่ 555 เมื่อเราสั่งอาหารมาทาน ซึ่งการเก็บเงินแต่ละร้านไม่เหมือนกัน บางร้านเก็บเงินเลยเมื่อนำอาหารมาส่ง บางร้านรอให้เราทานอิ่มก่อนค่อยมาเก็บตอนที่เรากลับ เมื่อนั่งพักกันจนหายเหนื่อยและอิ่มแล้ว เราจึงชวนกันเดินทางต่อ แต่แล้วเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายก็ดังตามมา อ่อแม่ค้าปลาเผานี่เอง เรามองหน้ากัน มีไรหว่า.. พวกน้องยังไม่ได้จ่ายค่าอาหารป้านะ เรามองหน้ากันอีกครั้ง พร้อมทั้งพูดว่า อ้าว 555+ ต่างคนต่างคิดว่ามีคนจ่ายแล้ว เฮ่อ เขินเลย ระหว่างการเดินทาง อากาศช่างร้อนเหลือเกินเราจึงเดินทางไปยัง " น้ำตกเกริงกระเวีย "เพื่อเล่นน้ำคลายร้อนกันก่อนกลับกรุงเทพฯ แต่จุดแวะเที่ยวของเรายังไม่หมดเพียงเท่านี้ เราตัดสินใจเดินทางไปยัง " ป้อมปี่ " เพื่อชมพระอาทิตย์ตกและทานอาหารมื้อเย็น เราเดินชมบรรยากาศรอบ ๆ ช่างสวยงามเหลือเกิน ถึงแดดจะร้อนแต่ก็มีร่มไม้ให้เราได้หลบแดด พอพระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า เราจึงสนุกกับการถ่ายรูป ภาพพระอาทิตย์ที่กำลังจะจมลงไปในน้ำ ทุกคนต่างดื่มด่ำกับบรรยากาศ สูดออกซิเจนเข้าให้เต็มปอด เพื่อเก็บไว้เป็นแรงในการทำงานต่อไป หวังว่าเพื่อนๆจะชอบเรื่องราวและเป็นกำลังใจให้กันตลอดไปนะครับ สุดท้ายนี้ " ขอให้เพื่อน ๆ เที่ยวอย่างมีความสุข และสนุกกับการเดินทางนะครับ " ภาพประกอบโดยผู้เขียน