นั่งรถไฟเที่ยวเมืองกาญจน์ด้วยงบ 100 บาท ในวันว่าง ๆ ก็อยากที่จะออกไปเปิดหูเปิดตาหลังจากที่เก็บตัวอยู่ในห้องมานาน แต่พอช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่เลยอยากที่จะไปเที่ยวแบบประหยัดมากที่สุด หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะออกไปเที่ยวนั้นก็ได้หาข้อมูลของจังหวัดที่อยู่รอบ ๆ กรุงเทพฯ จนกระทั่งได้ตัดสินใจว่าจะนั่งรถไฟไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากค่าตั๋วรถไฟจะถูกแล้วนั้น ในจังหวัดกาญจนบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่คิดว่ามาในครั้งนี้จะต้องคุ้มค่าแน่นอน ตื่นเช้ามาก็เริ่มจัดกระเป๋าโดยนำของที่จำเป็นเช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ และสมุดสำหรับจดบันทึกกับปากกา หลังจากจัดกระเป๋าแล้วก็ได้เดินทางออกจากบ้านในเวลา 8 โมงเช้ามายังสถานีรถไฟศาลายา ซึ่งรถไฟขบวนที่จะไปกาญจนบุรีนั้นจะมาถึงในเวลา 8 โมงครึ่ง ซึ่งอันดับแรกเมื่อไปถึงสถานีรถไฟก็ได้ตรงเข้าไปซื้อตั๋วก่อนจะมานั่งรอรถไฟที่ชานชาลา 2 ตั๋วรถไฟมีราคาเพียง 21 บาทเท่านั้นซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ เมื่อลองคำนวณแล้วหากนั่งรถไฟไปกลับก็จะจ่ายเพียง 42 บาท ซึ่งหากเราเดินทางด้วยรถสาธารณะอื่น ๆ อาจจะต้องเสียเงินมากกว่านี้หลายเท่าตัว ภาพถ่ายโดยผู้เขียน รถไฟสายนี้หลังจากที่หยุดรับผู้โดยสารที่สถานีศาลายาแล้ว ก็จะหยุดรับผู้โดยสารที่สถานีวัดสุวรรณ สถานีคลองมหาสวัสดิ์ สถานีวัดงิ้วราย สถานีนครชัยศรี สถานีท่าแฉลบ สถานีต้นสำโรง สถานีนครปฐม ซึ่งมาถึงสถานีนครปฐมนั้นจะมีพ่อค้าแม่ค้านำอาหารขึ้นมาขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้เขียนขอแนะนำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานครปฐมซึ่งมีราคาเพียงแค่ 10 บาท ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานี้มีทั้งเส้นเล็กและเส้นบะหมี่เหลือง ห่อในกระดาษสีเทาอ่อน มีไม้คล้ายตะเกียบเล็ก ๆ ให้ด้วย ถ้าถามถึงรสชาติต้องบอกเลยว่ารสชาติดีทีเดียวสำหรับราคา 10 บาท เมื่อออกจากสถานีนครปฐมก็ได้หยุดรับผู้โดยสารที่สถานีโพรงมะเดื่อ สถานีคลองบางตาล สถานีหนองปลาดุก ซึ่งต้องบอกเลยว่าที่สถานีหนองปลาดุกนี้ก็มีพ่อค้าแม่ค้าแนะนำอาหารขึ้นมาขายเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าพูดถึงรถไฟเราก็ต้องนึกถึงข้าวกระทงราคา 10 บาท ซึ่งข้าวกระทงมีทั้งหมด 3 เมนูได้แก่ ไข่พะโล้ พะแนงหมู และแกงเขียวหวาน ซึ่งทั้ง 3 เมนูนั้นผู้เขียนได้ลองชิมแล้วรับรองได้ว่าอร่อยเกินราคามาก ๆ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน หลังจากออกจากสถานีหนองปลาดุกแล้ว รถไฟก็ได้วิ่งมาเรื่อย ๆ และจอดรับส่งผู้โดยสารที่จุดจอดรถไฟถนนทรงพล สถานีสระโกสินารายณ์ สถานีลูกแก สถานีท่าเรือน้อย จุดจอดรถไฟท่าม่วงหรือทุ่งทอง และแล้วก็ถึงจุดหมายปลายทางด้านก็คือสถานีกาญจนบุรี หลังจากที่ลงจากรถผู้เขียนก็ได้เดินออกมาที่หน้าถนนใหญ่ ซึ่งตรงข้ามนั้นมีสุสานทหารพันธมิตรและเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ใกล้กันก็มีพิพิธภัณฑ์และมีวัดจีนที่ชื่อว่าวัดญวน ใกล้กับวัดจีนมีวัดไทยที่ชื่อว่าวัดเหนือจึงแวะเข้าไปไหว้พระ หลังจากไหว้พระเสร็จก็ได้เดินชมตลาดเก่าซึ่งจะเห็นถึงบรรยากาศเก่าแก่ของบ้านเรือนที่ไม่ได้แปลเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ภาพถ่ายโดยผู้เขียน หลังจากเดินชมโดยรอบจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยก็ได้แวะไหว้พระที่ศาลหลักเมืองซึ่งอยู่ใกล้กับเทศบาลจังหวัดกาญจนบุรีและโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อว่าโรงเรียนกาญจนา ซึ่งนอกจากจะมีคนมาไหว้พระขอพรแล้วนั้นยังมีคนที่มาแก้บนอีกด้วย ซึ่งในการแก้บนนั้นก็จะมีการจุดประทัดและนำสิ่งของต่าง ๆ ที่เคยบนเอาไว้ เช่น ไข่ต้ม ผลไม้ หรือแม้แต่อาหารอื่น ๆ มาถวายเป็นการแก้บน หลังจากที่เดินเที่ยวเตร็ดเตร่จนเพลินนั้นเมื่อยกนาฬิกาดูก็ได้เวลาบ่ายสอง ซึ่งก็ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว ผู้เขียนได้เดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสี่แยกหอนาฬิกา ตรงนั้นจะมีรถสองแถวและรถโดยสาร ซึ่งผู้เขียนก็ได้ขึ้นรถสองแถวสีเหลืองก่อนจะไปลงที่หน้าสุสานทหารพันธมิตรและข้ามถนนไปยังสถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋วกลับ ซึ่งราคาตั๋วก็ 21 บาทเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือถ้าใครเป็นผู้สูงอายุหรือมีบัตรสวัสดิการรัฐก็สามารถใช้สิทธิ์ตรงนี้ลดหย่อนค่าโดยสารได้ เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้คำนวณว่าในวันนี้ใช้เงินไปเท่าไหร่ ตลอดกาลโดยสารรถไฟนั้นผู้เขียนได้ใช้เงินไปกับค่าตั๋วรถไฟไป-กลับ 42 บาท ค่าก๋วยเตี๋ยวนครปฐม 10 บาท ค่าข้าวกระทง 10 บาท ค่าน้ำเปล่าบนรถไฟ 15 บาท ซึ่งรวมๆแล้วนั้นตลอดการเดินทางบนรถไฟผู้เขียนใช้เงินไปทั้งหมด 77 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ใช้เงินน้อยที่สุดเท่าที่เคยไปเที่ยวมาเลย