ทริปนี้ขอตั้งชื่อว่า “ทริปไฟไหม้ที่สังขละบุรี” เป็นทริปที่ใช้เวลาน้อยที่สุด 2 วัน 1 คืน เป็นทริปที่เดินทางนานที่สุดไปกลับเกือบ 12 ชั่วโมง และเป็นทริปที่ใช้รถขนส่งสารธารณะหลายต่อที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือที่สุดของความประทับใจ เราเริ่มต้นกันที่สถานีรถไฟธนบุรี ค่าตั๋วคนละ 30 บาท รถไฟสายกรุงเทพฯ - กาญจนบุรี – น้ำตก รอบเช้าที่สุดคือ 7.50 น. สิ้นสุดที่สถานีน้ำตกแต่ทริปนี้จะเลือกลงที่กาญจนบุรีเพื่อไปขึ้นรถตู้ไปสังขละบุรีที่ขนส่งกาญจนบุรีค่ะเพื่อเซฟเวลาเดินทาง นั่งเล่นเดินเล่นอยู่ซักพักรถไฟก็มา แถมออกตรงเวลามากค่ะ บรรยากาศบนรถไฟ มีทั้งชาวต่างชาติทั้งคนไทยนั่งปน ๆ กันเยอะ เลือกที่นั่งตรงไหนก็ได้ อย่าทำตั๋วหายนะคะจะมีพนักงานเดินมาตรวจตลอด นั่งไปถึงสถานีนครปฐมก็เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้าเดินขึ้นมาขายอาหาร มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นแต่เราดันกินผัดไทหน้าสถานีรถไฟธนบุรีมาแล้วเลยกินได้อีกไม่เยอะ มาถึงที่นี่ทั้งทีก็ต้องก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นนครปฐมเค้าล่ะค่ะ ห่อละ 10 บาท กินเอาฟีลย้อนวัยสมัยเด็ก รสชาติเหมือนเดิม เพื่อนฟาดไปสองห่อ อิ่มหนำพร้อมหลับแล้วค่า มาถึงสถานีกาญจนบุรีตอนประมาณ 12.00 น. ถ้าใครจะไปสถานีน้ำตกต่อให้ลงไปซื้อตั๋วอีกรอบนะคะ ส่วนเราก็นั่งรถแดงไปขนส่งกาญจนบุรีเพื่อขึ้นรถตู้กันต่อ เดินทางกันยาว ๆ อีก 4 ชั่วโมง รถตู้เอเชียไทรโยค ออกทุกชั่วโมงนะคะ ค่าตั๋วคนละ 175 บาท เราได้รอบ 13.30 น. ประมาณ 4 โมงเย็นเราก็มาถึงสังขละบุรีกันแล้วค่ะ รถจะจอดให้ลงตรงตลาด ใครพักที่ไหนก็ขึ้นวินไปที่พักได้เลย คนละ20-30บาทแล้วแต่ระยะทาง สะดวกดีค่ะใครไม่เช่ารถก็นั่งวินเอาหรือจะเดินเอาก็ได้ ที่พักก็มีทั้งแบบโรงแรมกับแบบ Homestay ราคาหลักร้อย - หลักพัน ส่วนครั้งนี้เราเลือกจองที่พักผ่าน Agoda ค่ะเพราะไม่รู้ว่ามี Homestay อยู่อีกฝั่งนึงของสะพานมอญเยอะมาก หลังจากนอนสลบกันจนเย็นเราก็ไปเดินเล่นที่สะพานมอญกันค่ะ คนเยอะมากกก เยอะมหาศาล แต่อากาศดีมากเลยทดแทนกันได้ บนสะพานจะมีน้อง ๆ เดินถามปะแป้งทานาคาให้ค่ะ น้องจะมีตัวบล็อกไม้ไผ่ให้เลือก ถามราคาแล้วน้องบอกแล้วแต่จะให้ค่าาไม่ให้ก็ได้ค่าา เจอดาเมจความใสซื่อของน้องเข้าไปควักเงินแทบไม่ทันกันทั้งคู่ แต่พอเดินไปเรื่อย ๆ เหมือนน้อง ๆ จะมีแพทเทิร์นการพูดเหมือนกันหมดเลยค่ะ แต่ก็ยังเรียกเงินจากเราได้อยู่ดี สะพานไม้ยาวประมาณเกือบ 800 เมตร สร้างอยู่บนแม่น้ำซองกาเลียเป็นสะพานที่สร้างไว้เชื่อมชาวมอญและชาวไทยไว้ด้วยกัน ที่นี่จะมีตลาดขายอาหารและเสื้อผ้าตรงฝั่งมอญค่ะ ของที่ขายก็จะมีเสื้อผ้าพื้นเมือง ผ้าซิ่น อาหารพื้นเมือง ราคาไม่แพง แถมแม่ค้ายังใจดีทุกคนค่ะ ประทับใจในความยิ้มแย้มของคนที่นี่จริง ๆ เดินเล่นวูบ ๆ จนค่ำ เราก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ถนนคนเดินสังขละบุรี ตลาดเปิดแค่วันเสาร์นะคะ กิมมิคของตลาดที่นี่เราคิดว่าเป็นตลาดที่รวมของพื้นเมืองหลายชาติไว้ด้วยกัน พลาดไม่ได้เลยก็คือ หมูจุ่มไม้ละ 1 บาท ขนมกระเหรี่ยงที่ทำจากงาดำ ทานาคาและพวกเครื่องหอมต่าง ๆ อากาศเย็นสบายเดินเพลินจนไม่อยากกลับที่พักเลยค่ะ หมูจุ่มพม่าไม้ละ 1 บาท รสชาติน้ำซุปจะเป็นน้ำพะโล้กินกับน้ำจิ้มพริกกระเหรี่ยงกับน้ำจิ้มซีฟู้ด ใครมาที่นี่ก็ลองชิมนะคะแปลกดีค่ะ เช้าวันนี้เราก็ออกจากที่พักกันตั้งแต่ตี 5 ค่ะเดินไปสะพานไม้เพื่อไปตักบาตรใส่ชุดมอญ เดินเล่นหาข้าวเช้ากินกัน เริ่มตักบาตรกันตอน 6.30 น. อากาศหนาวมากค่ะใครขี้หนาวหาเสื้อตัวหนา ๆ มาด้วย ไม่งั้นมีหวังแข็งตายแน่นอน การใส่ชุดมอญตักบาตรถือเป็นกิจกรรมยอดฮิตของสังขละบุรีเค้าล่ะค่ะ ใครมาแล้วไม่ได้ตักบาตรถือว่ามาไม่ถึง มีหลายร้านให้เลือกซื้ออาหารสำหรับตักบาตร ส่วนมากจะเริ่มที่ 99 บาทแถมชุดมอญให้ใส่ด้วย เราก็จัดกันไปคนละชุด น้องอ้อมเจ้าของร้านบริการดีมากแนะนำค่ะ ร้านน้องเค้าจะอยู่ตรงตีนสะพานเลย ขายขนมจีนหยวกกล้วยกับชุดผ้าพื้นเมือง น้องแนะนำที่เที่ยวแล้วก็ถ่ายรูปให้ตอนตักบาตรด้วยค่ะ ไม่พอยังช่วยเลือก สไบสีแสบแบบสไตล์มอญเกิร์ลให้ด้วยน้องบอกต้องสไบสีแดงสีเหลืองเท่านั้นถึงจะแซ่บ เอ้า!แซ่บก็แซ่บค่ะ จัดไป ตักบาตรเสร็จแล้วเราก็เดินถ่ายรูปเล่น ยกกล้องฟิล์มขึ้นมาถ่าย รู้สึกได้เลยค่ะว่ามุมไหนก็สวยไปหมด ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่แล้วรู้สึกว่าบางครั้งเราก็งุ่นง่านกับชีวิตตัวเองจนเกินไป ลองใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายดูบ้างก็ได้ และก็ถึงเวลากลับบ้านกันแล้วค่ะ รถตู้ออกทุกชั่วโมง เลือกเวลาได้เลยรอบสุดท้ายหมดตอนบ่ายสองครึ่ง แต่ถ้าให้ชัวร์สอบถามคิวรถตั้งแต่วันมาเลยก็ได้ จะได้ไม่พลาดรถนะคะ ส่วนอายจะไปด่านเจดีย์สามองค์ข้ามไปเที่ยวต่อที่เมืองพญาตองซูค่ะ ขอจบทริปไฟไหม้ไว้ก่อน แล้วเจอกันทริปหน้านะคะ รูปและเรื่องโดยผู้เขียนเองค่ะ aitid.c