กาญจนบุรี-สะพานมอญ สวัสดีอากาศปลายหน้าหนาว ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าให้คิดถึงการออกไปเที่ยวหลายๆ คนอาจจะคิดถึงการเจอหมอก เที่ยวเขา พวกเราก็เช่นกัน เราเลือกที่จะไปสัมผัสกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ท่ามกลางแม่น้ำและเขา ซึ่งทำให้เราปิ๊งไอเดียกันขึ้นมาว่า “สะพานมอญ” เป็นที่ที่น่าจะสนใจเลยทีเดียว เราวางแพลนการออกเดินทางของเรา และเลือกเดินทางด้วยรถส่วนตัวจากนครราชสีมาไปกาญจนบุรี ซึ่งใช้เวลาโดยประมาณ 6 ชั่วโมง รวมกับเวลาพักระหว่างทางด้วย โดยเวลาประมาณ 7โมงเช้า เรามาถึงตัวเมืองกาญฯ กันก็มุ่งหน้าไปที่ สะพานข้ามแม่น้ำแขวใหญ่เพื่อหามื้อเช้าของเรา และเที่ยวในตัวเมืองกาญจนบุรี กันก่อน... หลังจากเสร็จภารกิจอาหารมื้อเช้า ประมาณ 08.00น. เราก็ไปเดินชมบรรยากาศสะพานข้ามแม่น้ำแขวใหญ่กัน ซึ่งบอกได้เลยว่าช่วงเช้าอากาศดีมาก ลมเย็นๆและกลิ่นของแม่น้ำทำให้เราสดชื่นมากหลังจากเดินทางกันมานาน เสน่ห์อีกอย่างในช่วงเช้าคือคนน้อยมากให้ความสงบไปอีกแบบ เวลาประมาณ 09.40 น. ซึ่งเวลายังพอเหลือเราจึงขับรถไปไหว้พระขอพรกัน ก่อนที่จะเดินทางไปสังขละบุรี โดยเราเลือกไปที่ วัดถ้ำเสือ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากจากสะพานข้ามแม่น้ำแขวในจุดแรก เรามาถึงวัดถ้ำเสือประมาณ 10.00 น.และต้องเดินขึ้นบันไดปูนขึ้นไปด้านบนเพื่อไปสักการะพระพุทธรูปปรางค์ประทานพร ที่องค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พอขึ้นไปแล้วถึงกับต้องบอกว่า สวยมากจริงๆ พระพุทธรูปองค์ใหญ่และประดับด้วยสีทองอร่ามตามากเลย ยิ่งกระทบกับแสงอาทิตย์ยิ่งสวยมาก รวมถึงด้านข้างของพระพุทธรูป จะมองเห็นพระเจดีย์เกษแก้วปราสาท ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุอีกด้วย ขอบอกว่าเดินขึ้นไปเหนื่อยๆเจอลมเย็นๆและบรรยากาศด้านบน ถึงกับหายเหนื่อยเลยค่ะ เวลาประมาณ 11.30น. เราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อไปที่ อำเภอสังขละบุรี เส้นทางไปสังขละบุรีในช่วงแรกๆขับง่าย ถนนค่อนข้างกว้างและมีปั๊มน้ำมันที่สามารถพักได้อยู่เรื่อยๆ ค่ะ เราก็อาศัยช่วงพักรถในการทานอาหารเที่ยงด้วยเลย เมื่อขับมาถึงทางแยกระหว่างไปสังขละบุรี กับ ทองผาภูมิ แล้วอันนี้ทางเริ่มไม่หมูค่ะ จะแอบชันและทางคดเคี้ยวนิดหน่อยแต่ก็พอไหว ช่วง 10 กิโลท้ายๆก่อนถึง สังขละบุรีจะเป็นเส้นที่ชันและคดเคี้ยวพอสมควรอาจจะต้องใช้ความชำนาญและระมัดระวังกันพอสมควรเลยค่ะ คำแนะนำอีกอย่างคือทางขึ้นบางช่วงไม่มีไฟค่ะ ฉะนั้นการเดินทางมาช่วงค่ำอาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และแล้วเราก็มาถึง สะพานมอญ อำเภอสังขละบุรีกันแล้วค่ะ โดยเวลาประมาณ 18.00น. ถือว่าดีเลยทีเดียวค่ะ สวัสดีสะพานมอญ....เรามาถึงแล้วนะ พอมาถึงเราก็เข้าที่พักและตรงมาที่สะพานเลยค่ะ โดยเวลาประมาณ 18.30น. ใครจะไปคิดว่าตอนเย็นของที่นี่จะคลาสสิคได้ขนาดนี้ อากาศไม่หนาวมาก ลมเย็นๆจากแม่น้ำซองกาเรียพัดผ่านตลอดเส้นทางการเดินข้ามฝั่งไป ทำให้เราได้สัมผัสถึงความสงบจริงๆของสถานที่และผู้คนเลยค่ะ ช่วงค่ำสะพานจะเริ่มเปิดไฟ จะมีชาวบ้านมาขายดอกไม้และชุดใส่บาตรตอนเช้า รวมทั้งมีเด็กๆของฝั่งมอญมานั่งบนสะพาน เพื่อรอเล่าประวัติของสะพานบ้าง หรือนั่งเพื่อจะปะแป้งให้เราบ้าง รวมทั้งมีผู้คนเดินผ่านไปมาบนสะพานตลอดเวลา แต่กลับไม่ดูวุ่นวาย บรรยากาศดูเงียบสงบเหมาะกับการนั่งพัก และดูดดื่มบรรยากาศได้เต็มที่เลย เมื่อเราเดินข้ามสะพานมาที่ฝั่งไทยจะมีร้านอาหารตามสั่งอยู่2-3 ร้านค่ะ แต่เราอยากไปตลาดกันเลยเลือกที่จะนั่งวินมอไซต์ ในราคา คนละ20 บาท เพื่อไปหาของกินขึ้นชื่อของที่นี่กันค่ะ แต่ว่า...เนื่องจากเรามาในวันธรรมดา เลยไม่เจอกับถนนคนเดินสังขละบุรี ซึ่งจะมีแค่วันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น แอบเสียใจนิดนึง แต่เรายังคงได้เดินตลาดเย็นของที่นั่นอยู่ ซึ่งของกินก็เยอะพอสมควรเลยค่ะ เราเลือกที่จะชิม “หมูจุ่มพม่า” ซึ่งเป็นเมนูแนะนำเลยค่ะ ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ หมูจุ่มกินกับน้ำจิ้ม 2 รสชาติอร่อยมากเลยทีเดียว พร้อมกับซุปในหม้อต้มที่รสหวานกลมกล่อมเข้ากันได้ดีเลย ราคาอยู่ที่ไม้ละ2 บาทเองค่ะ เย้!!! และนี่คือบรรยากาศที่พวกเรารอคอย เวลาประมาณ06.30น. เราก็ได้เดินมาดูบรรยากาศของสะพานมอญในตอนเช้า ซึ่งประทับใจสุดๆเลย หมอกที่สลับกับแสงของหลอดไฟ รวมทั้งอากาศที่ค่อนข้างเย็นมันรู้สึกว่าคุ้มจริงๆเราอยากจะเดินไปที่สะพานกันเต็มที่เลยค่ะ แต่...เราต้องรีบกลับไปใส่บาตรกันก่อนไม่อย่างนั้นจะไม่ทันเวลา ทางที่พักของเราจะมีชุดตักบาตรพระไว้ให้ค่ะ พร้อมกับชุดมอญให้เราใส่ตักบาตรเพื่อให้เข้ากับวิถีชามอญ การตักบาตรที่นี่ จะใส่เป็นดอกไม้สด และจะใส่อาหารที่ดีที่สุดของเราให้กับพระที่มาบิณฑบาตค่ะ ด้วยความเชื่อของคนที่นี่ เราตักบาตรเสร็จเวลาประมาณ 07.30น. เราก็ไปเดินสะพานมอญกันค่ะ บอกได้คำเดียวว่า ฟินจริงๆค่ะ อากาศเย็นสบาย และหมอกที่ปกคลุมแม่น้ำ ที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน นับว่าเป็น amazing Thailand อีกหนึ่งที่เลยก็ว่าได้ บนสะพานจะมีชาวมอญขึ้นมาขายดอกไม้สด และมีเด็กๆ มานั่งปะแป้งให้เราค่ะ น้องๆ น่ารักมาก พวกเราได้เห็นวิถีชีวิตของเค้าซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ไปจากที่เราเคยเจอแต่ก็แฝงไปด้วยความสงบ เรียบง่าย และอบอุ่น ถ้าจะพูดถึงความประทับใจที่นี่นอกจากบรรยากาศแล้ว ผู้คนและความเป็นอยู่ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ที่นี่ลงตัว สังขละบุรีครั้งนี้ทำให้เราไม่อยากเดินลงจากสะพานเลยอยากจะสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ไปนานๆ แต่เราก็มีภาระกิจที่ต้องไปเที่ยวกันต่อ เลยต้องเดินทางกันไปต่อ เราเดินลงจากสะพานเวลาประมาณ 9.30 น. ซึ่งตอนนั้นพระอาทิตย์เริ่มขึ้นชัดเจน แต่ยังคงมีหมอกหนาเหมือนเดิมพร้อมกับอากาศเย็น เราเดินลงมาที่สะพานฝั่งมอญ จะมีร้านอาหารเช้า โจ๊ก โรตี และของฝากมากมาย ซึ่งเราคาไม่แพงเลย นับว่าเป็นการสนับสนุนอาชีพของชุมชนค่ะ ที่สังขละบุรีนั้น มีที่เที่ยวอีกมากมาย เช่นนั่งเรือชมวัดต่างๆที่อยู่บริเวณแม่น้ำ ไปไหว้พระวัดใกล้ๆ ซึ่งเราจึงตัดสินใจไปไหว้พระกันต่อค่ะ เราขับรถไปเที่ยวกันต่อที่เจดีย์พุทธคยา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานไม้เลยค่ะ เป็นเจดีย์แนวพม่า ที่ด้านในมีพระพุทธรูปประจำวันเกิดให้สักการะบูชากัน และถัดจากเจดีย์ไปอีกฝั่ง ก็จะพบกับวัดวังก์วิเกการาม ซึ่งเป็นวัดขนาดใหญ่ของทางฝั่งมอญค่ะ เราสามารถไปอ่านประวัติศาสตร์ของสะพานมอญและสถานที่ต่างๆจากที่วัดได้เลยค่ะ เที่ยวสังขละบุรีวันเดียวคงไม่หมดจริงๆ ค่ะ เราใช้เวลาอีกครึ่งวันไปต่อกันที่ฝั่งพม่า และกลับมานอนสังขละบุรีกันอีกคืน นับว่าเต็มอิ่มจริงๆกับการเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิต แถมยังได้บรรยากาศสุดฝินกันอีกด้วย “สำหรับเราเที่ยวใกล้หรือไกลไม่สำคัญเท่ากับทุกๆความประทับที่เกิดขึ้นในทุกๆสถานที่ที่เราได้ไปค่ะ” อยากจะชวนเพื่อนๆ ทุกคนลองไปสัมผัสกับที่นี่ดูนะคะบางทีคุณอาจจะหลงรักสังขละบุรี เหมือนกันพวกเรา :)