วันว่างๆ หนึ่งวัน ขับรถไปเที่ยวกาญจน์เถอะ! ใช้เวลาขับรถไปไม่เกิน 3 ชม. เอง วันเดียวก็เที่ยวได้นะ แต่จะเที่ยวได้มากน้อยแค่ไหนมาดูกัน 07.00น เดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ จ.กาญจนบุรี ขึ้นด่วนกันไปเลย 3 ทอด (ขนาดเช้าแบบนี้รถมีเยอะพอสมควรนะเนี่ย๗ 08.00น แวะกินมื้อเช้าแถวนครไชยศรี (ถนนหมายเลข 4) เส้นนี้ร้านอาหารมีเยอะแยะ แล้วก็เป็นเมนูเด่น ๆ ของนครปฐมซะด้วย อย่างข้าวหมูแดง หมูกรอบ ข้าวหน้าเป็ด ก๋วยเตี๋ยวหมู หมูสะเต๊ะ โอ๊ย! มากมายจ้า 9 โมงหน่อย ๆ ถึงตัวเมืองกาญจน์ (ขับมาเรื่อย ๆ สังเกตเห็นรถทะเบียนกรุงเทพฯ เยอะมาก เหมือนนัดกันมาเที่ยวที่เดียวกันเลย) มาถึงเมืองกาญจน์ เลี้ยวซ้ายไปทาง อ.ไทรโยค ถนนหมายเลข 323 จุดหมายปลายทางที่คิดไว้คือ "ช่องเขาขาด" จากแยกนี้เราต้องขับยาว ๆ ไปอีกเกือบชั่วโมง ระหว่างทางผ่านวัดถ้ำเสือ งานนี้ก็เลี้ยวไปเอาฤกษ์เอาชัยหน่อยสิ วัดถ้ำเสือ มีทางเข้า 2 ทาง ทางเข้าหลักที่จอดรถค่อนข้างแคบ รถก็เยอะ แต่ส่วนใหญ่คนจะยอมขับรถวน ๆ รอที่จอด เพราะทางขึ้นด้านนี้จะมีกระเช้าไว้คอยบริการด้วย ก็ทางขึ้นไปวัดเป็นบันไดสูง เพราะวัดอยู่บนเขา (ค่าขึ้นกระเช้าคนละ 20 บาท) แต่ด้วยความอดทนมีไม่สูงเลยถามคนโบกรถไปจอดที่อื่นได้ปะ ไม่ไหวแล้ว วน ๆ เสียเวลามาก เจ้าหน้าที่เค้าบอกให้วนไปด้านหลังวัด ขึ้นเขาไปนิดนึงจะมีอีกลานจอด แถมเดินขึ้นไม่สูงด้วย เออจริงด้วย! ลานจอดกว้าง คนไม่เยอะ แล้วเดินขึ้นนิดเดียว มอง ๆ แล้วไม่น่าเกิน 50 ขั้น แถมมีวิวข้าง ๆ เป็นทุ่งนา มีลมพัดเย็นสบายอีกด้วย ทุ่งนารอบ ๆ วัดถ้ำเสือ วิวนี้ อากาศสดชื่น เราชาวกรุงฯ นี่สุดจะฟิน ส่วนด้านบนภายในวัด คนที่มาก็ไม่เยอะเท่าไหร่ อาจเพราะยังเช้าอยู่เลยไม่หนาแน่น หลวงพ่อชินประทานพร พระประจำวัดถ้ำเสือ องค์ใหญ่ และเป็นที่นับถือของคนเมืองกาญจน์มาก จากวัดถ้ำเสืออีกไม่ไกล จะมีอีกจุดท่องเที่ยวที่โด่งดังไม่แพ้กัน และถ้าใครมาวัดถ้ำเสือนี้แล้วก็ต้องแวะไปชมต้นจามจุรียักษ์ด้วย ห่างไปอีกแค่ไม่เกิน 10 นาที ผ่านเส้นทางไร่ข้าวโพดก็ถึงแล้ว ด้วยต้นจามจุรีใหญ่มาก ทำให้มีพื้นที่ร่มรื่นกว้างไปด้วย คนมาเยอะก็ยังสามารถยืนถ่ายเห็นตัวต้นจามจุรีได้สบาย ไปค่ะเดินทางต่อ... ออกจากตรงนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว คิดว่าเราเอาท้องไปฝากไว้แถว ๆ น้ำตกไทรโยคดีกว่า ก่อนไปถึงช่องเขาขาด เที่ยง อิ่มมื้อเที่ยงนี้ เรากินข้าวกันที่ร้านดังแห่งไทรโยค "ร้านเรณู" อาหารรสเด็ดมาก เผ็ดถึง เปรี้ยวถึง กลมกล่อมทุกจาน (ร้านนี้ไม่รับบัตรเครดิตนะ แต่โอนได้จ้า) เมนูแนะนำที่ทางร้านเค้าอยากเสนอมีเยอะมาก ใครมาก็ลองเปิดเมนูสั่งกันเองนะ ปล.ถ่ายอาหารไม่ทันเพราะหิวกันทุกคน ลงโต๊ะปุ๊ปจิ้มกันปั๊บ ^^ (ถ่ายทันได้แค่ 2 เมนูเท่านั้น) ซี่โครงหมูอบสับปะรด จานนี้ 120 บาท หมูนุ่มมาก น้ำก็จะเป็นเหมือนน้ำหมูหวาน จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด อร่อยมากๆ ตัดหวานได้กลมกล่อมเลย ไข่เจียวผักพื้นบ้าน มีผักหวานกับอะไรอีกอย่าง ชื่อเรียกยาก เป็นพื้นที่คนท้องถิ่นเอามาต้มมาผัดกิน เค้าบอกว่าหาได้ทั่วไปนะ แต่คนไม่ค่อยรู้ว่ามันเอามาทำอาหารจะอร่อย จานนี้ 100 บาท ไข่มาแบบกรอบๆ จิ้มกินกับน้ำพริกกะปิจากที่ร้านเค้าทำเอง ไม่เผ็ด กินคู่กันอร่อยมาก แล้วที่นี่ก็มีน้ำผึ้งป่าแท้ 100% ขายด้วย แต่ขวดใหญ่เลยไม่ได้ซื้อกลับมา ข้างร้านเรณูก็จะมีตลาดขายของ มีทั้งของฝาก ของดังเมืองกาญจน์ และที่สุดคือ มีร้านขายโรตีมะพร้าวอ่อนด้วย ร้านนี้ดังมาก อร่อยมาก เอาโรตีมาโรยด้วยเครื่องเคียงต่าง ๆ เราเลือกหน้าเองได้ ใส่ในกะลามะพร้าว อร่อยมาก อร่อยจริงจัง ยิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ร้อน ๆ สุดฟินเลย โรตีมะพร้าว-ฝอยทอง แปะด้วยทองหยอด 1 ชิ้น อันนี้ราคา 50 บาท อร่อยมาก แต่ที่นิยมจริง ๆ ที่แม่ค้าบอกคนสั่งเยอะ ก็ "โรตีมะพร้าว+ไอติมมะพร้าว" ราคา 60 บาท น่ากินนะ แต่เอาหน้าฝอยทองแหละ "ช่องเขาขาด" ห่างจากน้ำตกไทรโยคน้อยไปทางทองผาภูมิประมาณ 20 นาที เอาจริง ๆ ก็แค่ 15 กิโลเองนะ แต่ด้วยทางเป็นแค่ 2 เลน รถบางคันก็ขับรถยี่ห้อเต่าคลาน มีรถใหญ่ด้วย มีรถสวน เวลาขับเส้นนี้เลยจะไปตามๆ กัน แซงได้บ้างบางจังหวะ มีรถสวนเป็นระยะ เลยไม่แปลกที่ระยะทางแค่ 18 กิโล แต่ใช้เวลา 20 นาที งานเข้าจ้า!!! ช่องเขาขาด "ปิดค่ะ" เจ้าหน้าที่ด้านหน้าทางเข้าบอกปิดเพราะโควิดยังไม่มีกำหนดเปิดเลย ลองเช็คทางเน็ตเพิ่งรู้ว่าเค้าเพิ่งเปิดเมื่อเดือนกรกฎาคมนี่เอง แล้วก็มาปิดใหม่เมื่อต้นเดือนสิงหาคม โห! ความตั้งใจพังเลย ทำการบ้านมุมถ่ายรูปมาตั้งเยอะ "อด จบ" เอาไงหล่ะคราวนี้? จุดหมายที่สองก็คือ The Village Farm To Cafe เราไปที่นี่กันเลยละกัน ขับรถย้อนกลับมาไทรโยค ระหว่างทางจะมีแยกเข้าไปทางรถไฟสายมรณะ ถ้ำกระแซ อ๊ะ! ไปที่นี่ก็ได้นะ เป็นอีกหนึ่งที่นิยมกับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกแห่ง แถมมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจไม่แพ้ช่องเขาขาดเหมือนกัน จากถนนใหญ่เลี้ยวเข้าไปทางสถานีรถไฟวังโพ ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 10 นาที ระหว่างทางก็มีต้นไม้ต้นใหญ่ร่มรื่นมาก (กาญจนบุรีนี่กลายเป็นจังหวัดที่ปักหมุดว่า "ชอบ" ไปเลย ถ้าไม่นับว่าภูมิประเทศเขตเมืองกาญจน์มีแต่เขาทำให้อากาศอบอุ่นจนถึงร้อนอะนะ แต่ความสีเขียวนี่ยกนิ้วว่าเยี่ยมให้เลย คือดีมาก) จากที่จอดรถ ระหว่างทางเดินไปที่ทางรถไฟฯ จะมีร้านค้าขายของเยอะแยะ สถานีรถไฟถ้ำกระแซ สถานีนี้ถ้านั่งรถไฟขบวนปกติมาจะจอดที่สถานีนี้ แต่ถ้าเป็นขบวนพิเศษที่วิ่งเฉพาะวันหยุดเค้าจะไม่จอด จะวิ่งยาวไปจอดที่สถานีวังโพที่อยู่ด้านนอกเลย รถไฟจะผ่านจุดนี้เวลาประมาณ 13.30น ถ้าใครอยากมาถ่ายและได้บรรยากาศหลบรถไฟ หรือมีขบวนรถไฟในเฟรมรูปด้วยหล่ะก็ ให้มาช่วงนี้เลยแต่คนจะเยอะหน่อยนะ เพราะมันคือ ไฮไลท์ของที่นี่เลย ประโยคที่ว่า "หนึ่งไม้หมอน เท่ากับหนึ่งชีวิต" ถ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้คงจะไม่เข้าใจหรอก ลองย้อนไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เส้นทางตรงนี้ไม่ได้มีถนนที่เดินทางมาง่าย ๆ เหมือนตอนนี้ การขนของที่จะมาสร้างทางรถไฟมันคงลำบากเป็นร้อย ๆ เท่า ไหนจะหมอนไม้อันโตๆ รางเหล็กอีก ไม่อยากนึกภาพ ตามบันทึกเค้าบอกเลยด้วยว่าทั้งเชลย ทั้งชาวบ้าน โดนเกณฑ์มาทำทางรถไฟกันเป็นแสนคน (เศร้า..ไม่ต่อเรื่องนี้ดีกว่า) วัดถ้ำกระแซ อยู่ตรงทางรถไฟฯ นั่นเลย เป็นถ้ำเล็กๆ ที่เดิมเคยเป็นที่หลบฝนของเชลยที่สร้างทางรถไฟ และชาวบ้านก็เชิญพระประทานมาประดิษฐ์สถาน ณ ที่นี่ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้กับเชลย และชาวบ้านแถบนี้ ทางรถไฟก็ยาวๆ หน่อย ถ้ามีแรงก็เดินยาวไปให้ถึงสถานีสะพานข้ามแม่น้ำแคว ก็จะได้วิวสวยๆ อีกเพียบ และเสียวๆ กับริมหน้าผาบนทางรถไฟแบบนี้ไปตลอดทาง ก่อนจะเย็นไปมากกว่านี้ เรารีบออกไปที่ร้านคาเฟ่กันดีกว่า จากถ้ำกระแซไปที่ร้านก็ประมาณ 20 นาที The Village Farm To Cafe' ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ยอดฮิตติดอันดับต้นๆ ของเมืองกาญจน์ เป็นที่เดียวกับร้านอาหารคีรีมันตรา แต่แบ่งโซนกันระหว่างร้านอาหารกับร้านคาเฟ่ ซึ่งสามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มกันได้ ด้านในกว้างมาก เป็นวิวเขา มีบึงเล็กๆ สนามหญ้ากว้าง มุมถ่ายรูปชิลๆ เยอะด้วย อาหารก็จะหลากหลายทั้งไทย หรือฟิวชั่นนานาชาติ ขนมเค้ก ของทานเล่น หรือเครื่องดื่มก็อร่อย ราคาก็สมเหตุสมผล ไม่แพงแต่ก็ไม่ถูก มาจังหวะดี แดดกำลังตก เลยเห็นฟ้าสีสวยๆ แบบนี้ นอนพักผ่อน ดูฟ้า ดูเมฆ เพลินๆ ไปเลย ร้านปิด 4 ทุ่ม ใครพักที่กาญจน์ 1 คืนก็จะได้เห็นฟิวค่ำๆ เปิดไฟก็จะสวยไปอีกแบบ แต่พวกเรามากันวันเดียว 6 โมงเย็นอาทิตย์ตกก็ต้องรีบกลับกันละ ไว้คราวหน้านะเมืองกาญจน์ เราจะมานอนที่นี่ซักคืน จะเที่ยวยาวไปสังขละฯ เลย ....ขอรอช่องเขาขาดเปิดก่อนนะ จะมาซ่อมใหม่ ความตั้งใจเราต้องแน่วแน่... ภาพทั้งหมดเป็นของผู้เขียน / เดินทางวันที่ 8 สิงหาคม 2563