สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ชาวทรูไอดีทุกท่าน หลังจากห่างหายไปกับทริปพาเที่ยววันนี้นัทเกวจะพาเพื่อนๆไปสโลไลฟ์สไตล์มอญกันที่สังขละบุรีค่ะ สังขละบุรีเป็นอำเภอเล็กๆของจังหวัดกาญจณบุรีห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ390 กม. เป็นพื้นที่ติดกับชายแดนพม่า ไม่ไกลออกไป เป็นด่านเจดีย์สามองค์ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อีกทั้งพื้นที่รอบ ๆ ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติ ที่สวยงาม บรรยากาศดีตลอดปี เป็นอำเภอที่รวมไปด้วย 3 วัฒนธรรม และ 3เชื้อชาติ คือ ชาวไทย ชาวมอญ และชาวกะเหรี่ยง เอาล่ะรู้ที่ตั้งและชื่อเสียงเรียงนามคร่าว ๆ ของที่นี่กันแล้วเราเอาร่างกายไปปะทะหมอกที่สังขละกันเถอะ คิดจะสโลวไลฟ์ต้องไปแบบไม่ใช้รถส่วนตัว เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมร เราเดินทางโดยรถตู้จากหมอชิตไปที่กาญจณบุรีใช้เวลาเดินทางประมาณ3 ชม. ได้ ถึงแล้วจ้าสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดกาญจนบุรี ทีนี้เราก็ต้องต่อรถเพื่อไปที่อำเภอสังขละบุรีกันโดยรถของเรา หน้าตาจะคล้ายในภาพ แต่ป้ายจะเขียนว่า กาญจนบุรี-สังขละ ใช่แล้วค่ะรถหวานเย็นเป็นยังไงคะ สโลวไลฟ์สมใจนังช้อยนัก> เมื่อขึ้นมาบนรถก็ซื้อตั๋วและนั่งรอเวลารถออกกันจ้าาาเย้!! นี่คือวิวระหว่างทางเห็นแค่นี้มันก็ช่างชุ่มชื่นหัวใจจริง ๆ นั่งหลับๆตื่นๆสับปะหงกจนเมื่อยคอ รถเมล์ก็มาจอดที่ตลาดในอ.ทองผาภูมิ พี่กระเป๋าบอกว่ารถหมดระยะแล้วนะครับ อ้าว!! พะพะพี่ไม่ไปถึงสังขละหรอคะ ในใจเตรียมจะร้องไห้น้ำตาไหลพรากแล้วฉันจะไปต่อยังไงดี “ใครจะไปอำเภอสังขละต่อรถคันโน้นนะครับ” พร้อมกับชี้ไปทางรถอีกคันหน้าตาคล้าย ๆ กันมีป้ายติดว่า“สังขละฯ” โอเคสบายใจละมีรถจอดรออย่างน้อยก็ไม่ต้องหารถไปเอง ระหว่างเดินไปขึ้นรถอีกคัน แวะถ่ายบรรยากาศใน อ.ทองผาภูมิมาสักหน่อย เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถคันใหม่ได้สักพักก็ได้เวลารถออกมุ่งหน้าไปสังขละกันค่ะ(ไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่น้าา) และแล้วก็มาถึงสังขละบุรีเมื่อรถจอดสนิทเราก็ลงจากรถไปหาวินมอเตอร์ไซค์ไปที่พักที่จองไว้กัน เมื่อมาถึงที่พัก ติดต่อขอกุญแจห้อง เก็บของเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเช่ามอเตอร์ไซค์ออกไปตามหาสะพานมอญกันเถอะ สะพานไม้เชื่อมวิถีชีวิตของฝั่งมอญและฝั่งไทยไว้ ให้คงยาวนานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จุดเด่นของที่นี่คงจะหนีไม่พ้นสะพานมอญ ชื่อเต็มก็คือสะพานอุตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ทอดยาวข้ามแม่น้ำซองกาเลีย(สะพานนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นสะพานไม้ที่มีความยาวเป็นอันดับ2 ของโลกเลยทีเดียว) บนสะพานเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว และมัคุเทศก์น้อยที่คอยเล่าประวัติของเมืองแห่งนี้ ค่าจ้างก็แล้วแต่จะให้เป็นค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่างขยันจริงนะเจ้าหนู เราเดินเล่นนั่งรับรมชมวิวที่สะพานมอญกันสักพักก็มีพี่คนหนึ่งเดินมาถามว่า สนใจนั่งเรือชมวัดกลางน้ำไหม 3 วัด 500 บาท ทางเราก็ชั่งใจอยู่นาน ไปไม่ไปดี 500 บ.ก็แพงอยู่นะเนี่ย แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วไม่ได้ดูก็เหมือนมาไม่ถึงงั้นก็...ตกลงค่ะ!! ว่าแล้วก็เดินตามพี่เขาไปเหมือนโดนป้ายยาฮ่า ๆ วัดแรก วัดวังก์วิเวการามเก่า (วัดมอญ) วันที่เราไปเป็นช่วงฤดูฝนทำให้น้ำค่อนข้างเยอะเห็นแค่หน้าต่างเท่านั้น หอระฆังกลางน้ำ วัดที่2. วัดสมเด็จ(วัดไทย) วัดนี้ตั้งอยู่บนที่สูงเป็นวัดเดียวที่น้ำท่วมไม่ถึง ด้านบนมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ วัดที่3 ศรีสุวรรณ(วัดกะเหรี่ยง) วัดนี้แอบเสียดายเนื่องจากมองไม่เห็นตัววัดเลยเนื่องจากวัดนี้ตั้งอยู่ที่พื้นที่ต่ำสุด ทำให้น้ำท่วมจนมิด เห็นเพียงเสา ที่ชาวบ้านผูกผ้าไว้เพื่อระบุตำแหน่งของวัดเท่านั้น นั่นไง!! สะพานมอญ ยาวมากจริงๆ เมื่อเยี่ยมชมวัดทั้งสามจนครบแล้วก็ขึ้นฝั่งไปตลาดนัดกันนน ตลาดนัดที่นี่เป็นตลาดนัดเล็ก ๆ มีอาหารพื้นถิ่นและขนมท้องถิ่นมากมาย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะนัก เพราะทางเราสนใจแต่อาหาร จนลืมหยิบกล้องขึ้นมาเลย แต่ถ้าเพื่อน ๆ อยากรู้ว่ามีอะไรบ้างเพื่อน ๆ ต้องลองไปเดินดูรับรองว่าเด็ด! และเราก็กลับมาที่สะพานมอญอีกรอบในเวลาค่ำคืนที่อากาศเย็นสบายกำลังดีสองฝั่งของสะพานเต็มไปด้วยแสงไฟรายทางบรรยากาศช่างโรแมนติกเหลือเกิน นั่งหย่อนขายื่นหน้ารับสายลมอ่อน ๆ ฟังเสียงจิ้งหรีดและสายน้ำปล่อยใจไปกับความเงียบสงบช่างเป็นอะไรที่มีความสุขเสียจริงแค่นี้ก็คุ้มกับการเดิทาง9 ชม. ของเราแล้ว เรานั่งอยุ่กันสักพักก็เริ่มง่วงแล้ว กลับที่พักไปนอนพักผ่อน ตื่นเช้ามาตามล่าสายหมอกกันดีกว่า เช้าวันที่2 เป็นการตื่นเช้าที่มีความสุขมากรีบจัดการทำธุระส่วนตัวแล้วไปตามล่าหาสายหมอกตักบาตรที่สะพานมอญกัน สังขละบุรี เมืองสามหมอก ว่ากันว่าที่นี่คือเมืองสามหมอก เพราะไม่ว่าจะฤดูร้อน ร้อนมาก หรือร้อนม้ากกกมาก แฮะ ๆ ล้อเล่นค่ะ ไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ ที่สังขละฯก็จะมีหมอกตลอด เรียกได้ว่ามีตลอดปีก็คงจะไม่อวยเกินไป ทุกอย่างลงตัวไปหมด ท้องฟ้า น้ำ และภูเขา อยากจะยืนอยู่ตรงนี้นาน ๆ สาวมอญที่นี่ มีความสามารถพิเศษ หลังจากตักบาตรแล้ว เราก็เดินข้ามสะพานไปฝั่งมอญเพื่อหาอาหารเช้าทานกัน มีทั้งร้านโจ๊กและปลาท่องโก๋กาแฟ กลิ่นช่างหอมยวนชวนให้เดินเข้าร้านจริง ๆ จากนั้นเดินกลับมาที่รถแล้วไปสำรวจที่อื่นกันต่อ. ตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้ไปทัวร์รอบ ๆ เลย ว่าแล้วก็ขับตามทาง ข้ามสะพานซองกาเลียไปเจดีย์พุทธคยากัน เจดีย์พุทธคยานั้น ตั้งอยู่ที่วัดวังก์วิเวการามแห่งใหม่ ทางฝั่งของหมู่บ้านชาวมอญ เดินเล่นกันสักพักได้เวลากลับแล้ววว(จะถึงกรุงเทพกี่โมงกันนนขอวาร์ปไปเลยได้ไหม) กลับมาที่ห้องพักเก็บของเช็คเอาท์ และไปรอรถกัน เนื่องจากว่าเรากลัวถึงกรุงเทพฯค่ำ ทางเราจึงตัดสินใจกลับโดยรถตู้ และก็ใช้เวลามาถึงตัวเมืองกาญจนบุรีในเวลา3 ชม.เท่านั้น และจากนั้นต่อรถตู้กลับกรุงเทพฯ ไปทำงานที่เราร้ากกกกกกรักกันเย่~~....