สวัสดีค่ะทุกคน ไหนใครมีปัญหาในการเลือกซื้อกระเป๋าเดินทางมั้ยค่ะ ปัญหาหลักๆเลย ส่วนใหญ่มักจะกะขนาดไม่ถูกซื้อมาแล้วใหญ่ หรือ เล็กไป สะพายแล้วไม่พอดีกับตัว หนักเกินไป ไม่ถูกใจ และบ้างครั้งคุณภาพไม่ดี แล้วก็ต้องไปเสียเงินซื้อใหม่ให้สิ้นเปลืองมากกว่าเดิมไปอีก ถ้าเริ่มไม่ถูกว่าจะซื้อยังไง ต้องซื้อขนาดเท่าไร ซื้อยังไงให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ลองมาศึกษาไปพร้อมๆกันนะคะ ถ่ายภาพโดย : หญิงเถื่อน 1. ขนาดกระเป๋า เริ่มที่ขนาดกระเป๋ากันก่อนเลย ต้องเหมาะสมกับจำนวนวันเดินทาง ถ้าไปแค่ 2 วัน เลือกกระเป๋าขนาดความจุ 40-50 ลิตร ก็น่าจะพอดีแล้ว เพราะถ้าเอา 70 ลิตรไปคงจะใหญ่เถ๊อะทะน่าดู แล้วต้องเลือกยังไงล่ะ?? โดยปกติแล้วไม่ว่าจะไปซื้อที่ Shop หรือสั่งออนไลน์ รายละเอียดกระเป๋าจะบอกขนาดจุไว้อยู่แล้ว หากไม่มีบอกไว้ก็ลองถามทางร้านดู ซื้อตามขนาดความจุโดยคำนึงจากจำนวนวันในการเดินทาง คำนวนข้าวของที่เราจะบรรจุลงไป ความจุโดยมาตราฐาน มีดังนี้ 1. 25-32 ลิตร เหมาะสำหรับ 2-5 วัน ทั้งนี้เป้ความจุนี้ เป็นขนาดที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ (แต่คงต้องเช็คก่อนนะว่าสายการบินเขากำหนดน้ำหนักเท่าไร) 2. 32-40 ลิตร เหมาะสำหรับ 5-7 วัน 3. 40-70 ลิตร เหมาะสำหรับ 8-14 วัน เป็นขนาดที่เห็นได้ทั่วไปกับฝรั่ง Backpacker ที่มาเที่ยวเมืองไทย เดินทางทีละหลายประเทศ ภาพจาก : Freepik.com 2. เน้นช่องใส่ของเยอะไว่ก่อน ทำไมต้องเน้นช่องใส่ของเยอะๆ ก็เพื่อให้เราจัดของใช้เป็นหมวดหมู่ เป็นระเบียบเรียบร้อย และนั่นจะทำให้ง่ายต่อการหยิบจับใช้สอย เราอาจจะเอาของที่หยิบใช้บ่อยๆหน่อยมาไว้ที่ช่องด้านนอกกระเป๋า ขวดน้ำก็อาจจะเสียบไว้ช่องด้านข้าง เวลาจะหยิบใช้ก็สามารถหยิบออกมาได้เลย โดยไม่ต้องรื้อทั้งกระเป๋าให้วุ่นวาย ภาพจาก : Freepik.com 3. น้ำหนักของกระเป๋า เลือกให้เบาที่สุด ไม่ใช่ว่ากระเป๋าความจุลิตรน้อยๆ น้ำหนักกระเป๋าจะเบาเสมอไป และก็ไม่ใช่ว่า กระเป๋าน้ำหนัก 50-60 ลิตร จะหนักมากทุกใบ ดังนั้นถ้าอยากให้ชัวร์ว่าจะได้กระเป๋าที่น้ำหนักเบา คงจะต้องลองเลือกลองจับกระเป๋าที่ Shop เอง ทำไมต้องเลือกเบาๆไว้ก่อน เพราะว่า ถ้ากระเป๋ามันมีน้ำหนักที่หนักตั้งแต่ยังไม่ได้จับสัมภาระยัดลงไป แล้วเมื่อเราต้องจัดทุกอย่างลงกระเป๋าแล้ว ทั้งน้ำหนักกระเป๋าและน้ำหนักสัมภาระมันจะบวกรวมกัน กรรมมันก็จะมาตกที่ตัวเราเองนี่แหละค่ะ เราจะต้องแบกกระเป๋าอันแสนหนักตลอดเวลาแล้ว ยังเสี่ยงน้ำหนักเกินเมื่อโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องด้วย ยังไงก็ควรเลือกกระเป๋าให้เบาๆไว้ก่อนนะคะ ภาพจาก : Freepik.com 4. เลือกกระเป๋าที่มีสายรัดเอว และ หน้าอก เพราะว่าสายรัดจะช่วยให้เป้กระชับกับร่างกายของเรา และทิ้งน้ำหนักได้อย่างถูกต้อง สะพายแล้วไม่เมื่อย ช่วยได้จริงๆนะคะ ข้อนี้เจอกับตัวเองมาแล้ว ความรู้สึกของการแบกกระเป๋าที่มีสายรัดอกกลับไม่มี ช่างแตกต่างกันมากจริงๆ นอกจากนี้ หากกระเป๋ามีโครงเหล็กและแผ่นระบายอากาศที่ตัวกระเป๋าด้านหลังด้วยก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ โครงเหล็กจะช่วยดันทรงกระเป๋าไว้ไม่ให้แนบหลังเราตลอดเวลา และยังช่วยบาลานซ์น้ำหนักกระเป๋าขณะสะพายได้ดีอีกด้วย ส่วนแผ่นระบายอากาศนี่ ถ้าไม่มีก็ไม่เสียหายแค่ถ้าสะพายนานๆ เหงื่อจะท่วมหลังเปียกทั้งกระเป๋าและเสื้อของเราแค่นั้นเอง ถ่ายภาพโดย : หญิงเถื่อน 5. อย่าเห็นแก่ของถูกจนไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าความทนทาน เราไม่ได้บอกว่าของถูกไม่ดี เพียงแต่บางอย่างคุณภาพมันก็ตามราคาแค่นั้นเอง ไหนๆจะซื้อแล้วก็ซื้อให้สามารถใช้ได้นาน คงทน คุ้มกับงานที่จะใช้ ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินซื้อบ่อยๆน่าจะดีที่สุด แน่นอนว่าของถูกและดี อาจจะมีหรือไม่มีอยู่ในโลก แต่ที่แน่ๆ ของดีที่มีราคาสมเหตุสมผลนั่นมีอยู่มาก อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นมันหรือไม่ หลายคนถามแบ็คแพคเกอร์ว่าทำไมต้องซื้อกระเป๋าใบละ 7-800 หรือเป็นพันๆ ก็ต้องตอบตรงๆว่า คุณภาพและความคงทนมันต่างกันจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องซื้อกระเป๋าที่ห้อยชื่อแบรนด์ราคาแพงก็ได้ แต่เราควรเน้นประเภทกระเป๋าให้ตรงกับการใช้งาน จะได้คุ้มค่ากับเงินที่จะต้องจ่ายออกไป ภาพจาก : Freepik.com เอาละค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านได้บ้างนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า หากคุณชอบบทความนี้ก็สามารถแชร์ออกไปได้เลยค่ะ หรืออยากจะติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวของเรา ก็สามารถติดตามได้ที่ Facebook : แบกกล้องชิวเที่ยวไปเรื่อย YouTube : หญิงเถื่อน Traveler