สังขละบุรี ดินแดนมนต์เสน่ห์ที่ใครๆหลายคนก็ต่างพากันหลงไหล ทั้งสายหมอก ภูเขา ธรรมชาติ สถาปัตยกรรมอันเก่าแก่หลายแห่ง และยังมีวิถีชีวิตชาวไทยเชื้อสายมอญที่เรียบง่าย ยึดถือประเพณีโบราณและปฏิบัติสืบต่อกันอย่างเคร่งครัด หนึ่งในประเพณีที่สำคัญคือ งานบุญเดือน 10 และพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ งานบุญเดือน 10 และพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ เป็นงานบุญประจำปีของชาวไทยเชื้อสายมอญ หรือแม้แต่ชาวมอญที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่าโดยยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน โดยเชื่อกันว่าในอดีตกษัตริย์เมืองมอญได้ส่งปะขาว (นักบวชนุ่งขาวห่มขาว ถือศีล 8 ในพุทธศาสนา) เดินทางไปอินเดียเพื่อบวชเป็นภิษุและรับพระไตรปิฏกกลับมาเมืองมอญแต่เกิดพายุในตอนขากลับทำให้หลงทาง กษัตริย์จึงรับสั่งให้ชาวเมืองสร้างเรือไม้ไผ่บรรจุเครื่องเส้นไหว้ 9 อย่าง อย่างละ 1,000 ชิ้น แล้วลอยลงสู่ทะเลเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากทำพิธีเสร็จไม่กี่วัน เรือที่หลงทางก็นำพระไตรปิฏกกลับมาได้อย่างปลอดภัย ชาวบ้านจึงเกิดความศรัทธาและยึดถือเป็นประเพณีปฏิบัติตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนถึงวันงานชาวไทยเชื้อสายมอญจะหอบลูกจูงหลานเรียกว่าหิ้วกันทั้งครอบครัวมารวมตัวกันเพื่อช่วยงานวัด ทั้งทำเรือขนาดใหญ่จากไม้ไผ่ ทำตุงกระดาษ จัดเตรียมสถานที่ เด็กๆหลายคนตื่นเต้นที่จะได้มาร่วมพิธี บางคนแต่งกายในชุดประจำชาติ ดูสวยงามและมีเสน่ห์ทั้งยังให้เด็กเหล่านี้รับรู้และสืบทอดประเพณีอันเก่านี้ต่อไป ส่วนอาหารการกินทั้งชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวก็ได้กินกันอยากทั่วถึงทั่วถึง เรียกได้ว่าเรียนรู้วิถีมอญกันอย่างเต็มพร้อมกับอิ่มท้องไปด้วย นอกจากนี้ในวันเดียวกันชาวไทยเชื้อสายมอญมีการละเล่นสำคัญคือลอยโคม โดยชาวบ้านจะนำโคมน้อยใหญ่มาลอยบริเวณลานหน้าเจดีย์พุทธคยาตั้งแต่เช้ามืดจรดเย็นค่ำของทุกวันจนกว่าจะถึงวันลอยเรือ ในสมัยก่อนจะมีการลอยโคมเพื่อสะเดาะเคราะห์ โดยวัดจะเป็นผู้ทำโคมขนาดใหญ่บรรจุเครื่องอัฐบริขาร จากนั้นลอยขึ้นบนท้องฟ้า โคมไปตกที่บ้านใครลูกชายบ้านนั้นจะต้องบวชสะเดาะเคราะห์และเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว เหลือเป็นเพียงการละเล่นทั่วไป วันถัดมาชาวไทยเชื้อสายมอญจะถือเครื่องเส้นไหว้คาวหวานทั้ง 9 อย่างมาตั้งแต่เช้ามืดเพื่อถวายลงเรือ ก่อนถวายชาวไทยเชื้อสายมอญจะนั่งคุกเข่าบริเวณหน้าลำเรือสวดมนต์ละลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ขอพรจากเทวดาให้ปกปักรักษา แล้วนำเครื่องเส้นไหว้ขึ้นจรดเหนือหัวแสดงถึงความเคารพและศรัทธายิ่ง หลังจากนั้นก็นำเครื่องเส้นไหว้ถวายลงไปในลำเรือไม้ไผ่ ในตอนสายๆก่อนเที่ยงจะมีอีกหนึ่งประเพณีที่จะพลาดไม่ได้เลยคือประเพณีตัดบาตรน้ำผึ้ง น้ำมันงา โดยชาวบ้านจะนำน้ำผึ้งและน้ำมันงามาใส่บาตรพระภิกษุ แต่เนื่องจากปัจจุบันน้ำผึ้งหายากก็เลยเปลี่ยนเป็นน้ำตาลทรายแทน การตัดบาตรนั้นชาวบ้านจะนั่งรอบริเวณทางเดินของวัดแล้วพระภิกษุจะบิณฑบาตรกับชาวบ้านทุกๆคน เช้าวันรุ่งชึ้นทุกคนมากันพร้อมหน้า ชาวไทยเชื้อสายมอญแต่งกายตามชุดประจำชาติ ผู้ชายใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวนุ่งโสร่งสีแดง ส่วนหญิงสาวนุ่งซิ่นลวดลายประณีตสวยงามและวิธีการนุ่งต่างกัน สวมเสื้อ ตัวในคอกลมแขนกุดตัวสั้นแค่เอว เล็กพอดีตัว สีสด สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวทรงกระบอก เป็นผ้าลูกไม้เนื้อบาง หญิงสาวหลายคนถึงกับลงทุนกันหลายพันบาทเพื่อตัดชุดเตรียมมาร่วมงานกันเลยทีเดียว หลังจากเสียงกลองยาวเริ่มดังขึ้น สาวใหญ่ สาวน้อยก็ร่ายรำกันอย่างครึกครื้น ขบวนลากเรือเริ่มมีการจัดเตรียมเชือกให้คนลากเรือไปยังท่าเรือวัดวังก์วิเวการาม โดยที่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านร่วมเป็นสักขีพยาน เรือไม้เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ลำน้ำ ชายร่างกำยำเริ่มเข้ามาจับยึดเรือเพื่อพยุงลำเรือให้ลงสู่ผืนน้ำ เรือยนต์ของกรมประมงมาช่วยลากเรือไม้ไผ่ร่วมกับชาวบ้าน บางคนคอยลุ้นอยู่ริมชายฝั่งว่าเรือจะลอยสำเร็จหรือไม่ และเมื่อเรือไม้ลอยลองสู่แม่น้ำชาวบ้านต่างพากับปรบมือร้องดีใจกันถ้วนหน้า จากนั้นเรือยนต์ลำใหญ่ได้ลากเรือไม้ไปตามแม่น้ำมุ่งหน้าไปยังเขื่อนวชิราลงกร แล้วไปจอดปักหลังตรงจุดที่เรียกว่า สามประสพ จุดที่แม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบิคลี่ และแม่น้ำรันติ ไหลมาบรรจบกัน จากนั้นก็ผูกเรือไว้กับขอนไม้ใหญ่กลางอ่างเก็บน้ำ ถวายเรือและเครื่องเส้นไหว้ให้กับเทวดาผู้ปกปักรักษาชาวไทยเชื้อสายมอญ เป็นการเสร็จพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ของชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่อำเภอสังขละบุรีลงด้วยดี เหลือไว้แต่บุญเต็มอิ่มที่ได้รับกันถ้วนหน้ากลับบ้านไปด้วย