ในท้องนาที่ห่างจากกรุงเทพฯ 127 กม. มีอะไรให้ดูมากกว่าต้นข้าว ลองสังเกตดีๆ จะเห็นเหล่าแมลงตัวน้อยๆ สีสันแปลกตา อีกทั้งปูปลาตามท้องร่อง นกปากห่างตัวโตและนกยางเปียสีขาวโบกบินให้เห็นเป็นระยะๆ ที่น่าสงสารเห็นจะเป็นเจ้านกเอี้ยง ได้แต่บินชะเง้อชะแง้หาควายเฒ่าให้เกาะหลัง เพราะตั้งแต่ควายเหล็กถือกำเนิดขึ้นมาในวงการทำนา เหล่าบรรดาควายไทยก็พากันตกงานไปเกือบหมด จนเหลือเพียงเรื่องเล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังเป็นนิทานก่อนนอนจากตัวเมืองสุพรรณฯ มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปอีกราว 20 กม. ก็ถึง อ. ศรีประจันต์ อำเภอเล็กๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การหลีกหนีความวุ่นวายมาพักผ่อน และที่นี่เองมีควายตัวเป็นๆ ให้ได้พบเห็น ทั้งควายเด็ก ควายหนุ่ม และควายเฒ่า เพื่อนซี้ของเจ้านกเอี้ยง เอ้า ! ทุกคนพร้อมไปเรียนรู้เรื่องควาย-ควายกันหรือยัง ประตูหมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย (บ้านควาย) เปิดแล้วจ้า... >>>ฉันขี่ไอ้ทุยวิ่งลุยท้องนา...ฮุ่ย...ฮุ่ย...ฮุ่ย...ฮุ่ย... หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย (บ้านควาย) เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2545 ด้วยความหวังเพียงเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักควาย สัตว์เลี้ยงสี่ขาตัวอ้วนพีขนสีดำ เพื่อนที่ช่วยชาวนาทำมาหากินมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด ภายในหมู่บ้านฯ มีควายประมาณ 30 ตัวถูกฝึกจนเชื่อง สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของครูฝึกได้อย่างฉลาดเฉลียว ควายเหล่านี้ส่วนมากถูกช่วยชีวิตมาจากโรงฆ่าสัตว์ก่อนจะโดนชำแหละเอาเนื้อไปทำอาหารและเอาหนังไปทำกระเป๋าควายแต่ละตัวมีครูฝึกประจำ ได้รับการดูแลอย่างดี มีคนอาบน้ำให้หน้าแฉล้ม ผิวมันแผล็บเรี่ยมเร้เรไรทุกวัน บางตัวหุ่นดีระดับขึ้นเวทีประกวด อย่างน้องสาว ควายตัวเมียอายุ 20 ปี ได้แสดงละครเรื่อง ขุนศึก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแรกของเธอ เรื่อง แม่นาค 3D, เพลงรักบ้านนา, คุณชายติดหรูคุณหนูติดดิน เธอก็ได้เข้าฉากมาแล้วทุกเช้าหลังกินฟางข้าวโรยด้วยอาหารเสริม ตบท้ายด้วยหญ้าสดๆ เป็นของหวานล้างปากแล้ว บรรดาน้องควายก็พร้อมให้นักท่องเที่ยวกระโดดขึ้นหลังออกชมทิวทัศน์ของบ้านควาย...ควายพร้อม แต่ส่วนมากคนไม่พร้อม ด้วยการขี่ควายไม่เหมือนขี่มอเตอร์ไซค์หรือบานาน่าโบ๊ตในทะเล ถ้าอยากนั่งชิลล์ๆ ไม่ตกลงมาให้น้องควายหัวเราะ เราต้องเตรียมใจให้พร้อม แล้วจับโหนกบนหลังควายให้มั่น ก้าวขาข้างถนัดขึ้นคร่อมบนหลังควาย ปรับสมดุลให้ดี ที่สำคัญทำตัวสบายๆ อย่าได้เกร็ง เพียงเท่านี้ก็สวมวิญญาณอีเรียมขี่อีเก (ชื่อควายของอีเรียม) ได้อย่างสนุกสนานใกล้ๆ คอกควายยังมีพิพิธภัณฑ์ชาวนาให้เดินชม ภายในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้เกี่ยวกับการทำนาไว้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังมีเรือนไทยหมู่ภาคกลางจำลองความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีตอย่างน่าชม ประกอบไปด้วยเรือนคหบดี เรือนแพทย์แผนไทย และเรือนโหราจารย์ รายล้อมด้วยสวนสมุนไพรและสวนไม้ดัดอันร่มครึ้มริมบึงน้ำใหญ่ พาให้เราจินตนาการถึงความเป็นอยู่ของปู่ย่าตาทวดว่าน่าสุขใจเพียงไร- -เช้าตรู่ออกไปทำนา เย็นลงกลับมาเอนกายใต้ถุนบ้าน แล้วนั่งล้อมวง กินข้าวเย็นสบายๆ ไม่ต้องง้อแอร์คอนดิชัน อยากไปไหนก็ไม่ต้องใช้รถให้เปลืองน้ำมัน กระโดดขึ้นหลังควายคู่ใจไปได้ถึงไหนถึงกัน ถ้าไกลหน่อยก็เทียมเกวียนไป ถ้อยทีถ้อยอาศัยไม่รีบร้อนให้เจ้าควายต้องเหน็ดเหนื่อย >>>หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย (บ้านควาย) เปิดเวลา 09.00-18.00 น. โทร. 0-3558-2592 รอบการแสดงจันทร์-ศุกร์ รอบเช้า 11.00-11.30 น. รอบบ่าย 15.00-15.30 น. เสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ รอบเช้า 11.00-12.00 น. รอบบ่าย 14.30-15.30 น. และ 16.00-17.00 น.<<< >>>เรียนรู้วิถีชาวนา... หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ควายเกิดมาเพื่อช่วยชาวนาทำนา มาบ้านควายทั้งทีเราจึงต้องหาโอกาสย่ำโคลนจูงควายไปไถนา ที่นี่มีแปลงนาสาธิตให้ได้เรียนรู้ว่า กว่าจะได้ข้าวแต่ละจานนั้นยากลำบากสักเพียงใด มีเจ้าหน้าที่บรรยายเกี่ยวกับการทำนาในประเทศไทย และแนะนำให้รู้จัก “ข้าว” พืชตระกูลหญ้าที่มีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดล้วนทำให้ทุกคนอิ่มท้องและเติบใหญ่มาแล้วทั้งนั้นพร้อมเป็นชาวนาแล้วใช่ไหม ? ไป ! เราไปทำนากัน ! การทำนาเริ่มต้นด้วยการไถ มีด้วยกัน 3 ขั้นตอน ได้แก่ ไถดะ คือการไถครั้งแรกเพื่อทำลายวัชพืชในนาและพลิกหน้าดิน แล้วปล่อยทิ้งไว้ราว 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงลงมือไถครั้งต่อไป เรียกว่า ไถแปร เป็นการไถเพื่อตัดกับรอยไถดะ ทำให้ดินที่ผ่านการไถดะแตกเป็นก้อนเล็กๆ และวัชพืชหลุดออกจากดิน อาจไถแปรมากกว่า 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับระดับน้ำในแปลงนาและปริมาณวัชพืช สุดท้ายเป็นการไถคราด ไถเพื่อเอาวัชพืชออกจากนาและปรับระดับพื้นนาให้เรียบเสมอกัน หลายคนนึกสนุกต่อคิวลงไปทดลองไถนา ทว่าการไถนาไม่ง่ายเหมือนกินข้าว ก็เลยก้นจ้ำเบ้าคลุกขี้โคลนกันถ้วนหน้า เนื่องจากเดินตามควายไม่ทัน คนสาธิตต้องเผยเคล็ดลับง่ายๆ ว่า การเดินในนาที่เต็มไปด้วยขี้โคลนต้องยกขาสูงเวลาก้าว ฐานจึงจะมั่นคงไม่ลงไปเล่นขี้โคลนแบบนี้จบกระบวนการไถก็มาถึงขั้นตอนการปลูกข้าว ซึ่งมีสาธิต 2 วิธี คือ การปลูกข้าวนาดำและปลูกข้าวนาหว่านการปลูกข้าวนาดำ หรือการปักดำ เป็นการนำต้นกล้าที่ถอนขึ้นจากแปลงเล็กมามัดรวมกันเป็นมัดๆ สลัดดินโคลนที่รากออกให้หมด แล้วนำไปปักดำในพื้นที่นาที่ได้เตรียมไว้ ถ้าต้นกล้าสูงมากก็ตัดปลายใบทิ้ง พื้นที่นาสำหรับใช้ปักดำต้องมีน้ำขังอยู่ประมาณ 5-10 ซม. เพราะถ้าในนาไม่มีน้ำขังอยู่เลย ต้นข้าวอาจถูกลมพัดจนพับลงได้ ขั้นตอนนี้เองเราเห็นภาพและเข้าใจถึงประโยคที่ว่า “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” ด้วยชาวนาจะก้มลงปักต้นกล้าทีละต้นโดยวิธีก้าวถอยหลัง เพื่อให้เห็นว่าต้นกล้าที่ปักดำไปแล้วเป็นแถวเป็นแนวหรือไม่คิดดูเถิดว่า กว่าจะปักดำครบ 1 ไร่นั้นเหนื่อยสักเพียงไหนส่วนอีกวิธีคือการทำนาหว่าน เป็นการปลูกข้าวโดยหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในผืนนาที่ไถเตรียมไว้โดยตรง เมล็ดพันธุ์เมื่อตกลงไปอยู่ในซอกระหว่างก้อนดินกับรอยไถ หลังจากฝนแรกโปรยปรายลงมา มันก็จะงอกเป็นต้นกล้าเจริญเติบโตต่อไป เวลาหว่านก็ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก วิธีซัดเมล็ดข้าวให้ทั่วถึงนั้นยากยิ่งกว่าวงสวิงในสนามกอล์ฟ คุณต้องกำข้าวแต่พอดี สาดออกไปด้วยแรงพอเหมาะและแขนได้องศา เพราะถ้าหากสาดเมล็ดข้าวเหมือนโปรยลงพื้น ต้นข้าวที่งอกขึ้นมานั้นจะกระจุกตัว อันมีผลต่อการเจริญเติบโตและออกรวง เห็นแล้วบอกได้คำเดียวว่า ไม่ง่ายเลย ! >>>ชมความสามารถขำ-ขำ ประสาควาย-ควาย เสร็จสิ้นภารกิจไถนา คนก็ไปล้างเนื้อล้างตัว ส่วนควายก็ไปอาบน้ำให้หอมฉุย ก่อนมาพบกันอีกทีที่ลานแสดงในเวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นรอบการแสดงประจำทุกวัน ใครเคยชมความสามารถของโลมา แมวน้ำ ลิง ช้าง สุนัขมาแล้ว ขอบอกว่าควายก็เป็นสัตว์ที่เปี่ยมด้วยความสามารถไม่น้อยกว่ากันเลย ครูฝึกเล่าว่าควายบางตัวไอคิวดี ฝึกเพียง 2 เดือนก็ออกโชว์ได้แล้ว ส่วนตัวที่ฝึกนานสุดก็แค่ปีเดียวเท่านั้นการแสดงเริ่มฉากแรกด้วยการสนตะพาย เป็นวิธีให้ควายเชื่อฟังและทำตามคำสั่ง ต่อด้วยเทียมเกวียน นวดข้าวโดยให้ควายย่ำ นำควายมายืนต่อกันเพื่อทำสะพานข้ามลำห้วย ที่บางคนเห็นแล้วร้อง “อ๋อ ! นี่เองที่มาของสะพานควาย” นอกจากนี้ครูฝึกยังสั่งให้ควายนั่ง ควายนอน ควายแกล้งตาย ควายยกขาสวัสดี แถมยังโชว์ให้เห็นว่าควายก็รู้จักขาซ้ายขาขวานะ...จะบอกให้ แต่ที่สร้างความประทับใจและเรียกเสียงหัวเราะได้มากสุดก็เห็นจะเป็นควายยิ้ม มันยิ้มแฉ่งได้น่ารักมาก ปิดท้ายรายการโดยให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นหลังควายอีกครั้ง และควายเผือก ควายแคระ ก็มารอให้คุณลูบหัวถ่ายเทความรักความเอ็นดูสู่มันนับแต่นี้จะเปรียบเปรยใครว่าโง่เหมือนควายไม่ได้นะเออ ก็น้องควายเขาน่ารักแสนรู้ออกอย่างนี้ภายในหมู่บ้านฯ ยังมีที่พักให้คนที่อยากซึมซับบรรยากาศท้องทุ่งได้เลือกใช้บริการ หรือใครอยากยกก๊วนมาพักผ่อนในฟาร์มสเตย์ ที่นี่ก็มีให้บริการ รับรองคุณจะได้สัมผัสวิถีชาวนาและการใช้ชีวิตของผู้คนในชนบทอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน >>>พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย แหล่งเรียนรู้คนทำนา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ในศูนย์ราชการจังหวัด ใกล้กับศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับชาวนา ทั้งเรื่องทำนา ประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของวิถีชาวนา ข้อมูลเกี่ยวกับข้าวสายพันธุ์ต่างๆ ไปจนถึงแหล่งปลูกข้าวทั่วโลก รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับการทำนาที่คนรุ่นใหม่น้อยคนนักจะรู้จัก นอกจากนี้ยังจัดแสดงพระราชจริยวัตรของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในฐานะทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูชาวนาไทย ทรงพัฒนาการทำนาและการเกษตรของชาติให้รุ่งเรืองสมเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ นับได้ว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นห้องเรียนเกี่ยวกับการทำนาที่เข้าใจง่ายและน่าชมมากๆ ขอแนะนำให้มาแวะเที่ยวชมก่อนไปลงพื้นที่จริงที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย จะเสริมให้คุณเข้าใจและสนุกกับการท่องเที่ยวยิ่งขึ้น เปิดให้เข้าชมวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. (ปิดวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) โทร. 0-3552-2191