พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร สถานที่นี้เคยมาทัศนศึกษาสมัยครั้งยังเป็นรุ่นกระโปรงบานขาสั้น หลังจากนั้นแทบไม่มีเวลาแวะเวียนไปอีก จนทราบข่าวว่าจะมีการจัดแสดงวัตถุโบราณจากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ขึ้นที่นี่ จึงตั้งใจว่าจะต้องแวะที่นี่ให้ได้อีกสักครั้ง ไม่ผ่านไปผ่านมาเหมือนเช่นทุกทีอีก พระราชวังบวรสถานมงคล เป็นที่ประทับในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล อันเป็นตำแหน่งวังหน้า หรือคือพระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่1 ขอบเขตเมื่อแรกสร้างอยู่ระหว่างถนนพระจันทร์ถึงถนนราชินีบริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ปัจจุบันกำแพงพระราชวังเหลือเพียงกำแพงด้านทิศใต้ซึ่งปัจจุบันเป็นกำแพงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในสมัยรัชกาลที่5 หลังยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็โปรดเกล้าฯให้ย้ายมิวเซียมหลวง จากหอคองคอเดียหรือศาลาสหทัยสมาคมปัจจุบันมาตั้งที่พระราชวังบวรสถานมงคล และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับประชาชน โดยใข้พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยเป็นที่จัดแสดง ต่อมาสมัยรัชกาลที่7 ได้พระราชทานพระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรสถานมงคลทั้งหมดให้เป็นพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ และได้มีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมสมัยรัชกาลที่9 คืออาคารมหาสุรสิงหนาททางฝั่งใต้ และอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ทางฝั่งเหนือ หลังชมนิทรรศกาจจิ๋นซีฮ่องเต้เสร็จ เรามุ่งหน้าเข้าสู่เขตชั้นในพิพิธภัณฑ์ อาคารแรกที่เลือกไปคือพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ อาคารนี้จัดแสดงพระพุทธสิหิงค์ หน้าพระที่นั่งมีรูปปั้นพระนารายณ์ทรงปืน ซึ่งรัชกาลที่5โปรดฯให้ประติมากรชาวอิตาลีปั้นขึ้น เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ พระราชวังบ้านปืน จ.เพชรบุรี แต่มาทำสำเร็จในสมัยรัชกาลที่6 จึงโปรดฯให้นำมาประดิษฐานยังหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ อาคารต่อไปคือตำหนักแดง เดิมเป็นเรือนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ในสมัยรัชกาลที่1 ต่อมาสมัยรัชกาลที่3 โปรดฯให้รื้อตำหนัก เพื่อเปลี่ยนตำหนักฝ่ายในให้เป็นพระตำหนักตึกทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น2ส่วน ส่วนแรกปัจจุบันเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม อีกส่วนคือที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ภายในจัดแสดงเครื่องใช้เจ้านายฝ่ายในหลายพระองค์ และที่แน่ๆวันไปชม ผู้เขียนเจอเสาตกน้ำมันด้วย เอ...มันเรื่องปกติรึเปล่า ที่เสาไม้อายุสองร้อยกว่าปีจะยังมียางไม้ไหลออกมาอยู่อีก ศาลาสราญมุขมาตย์ น่าจะใช้เป็นที่พัก หรือที่สำหรับรอเฝ้าของข้าราชบริพาร เราไปต่อกันที่โรงราชรถ จำได้สมัยมาครั้งก่อนนั้น อาคารนี้ก่ออิฐปิดทึบ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระจกใสกั้นเกือบรอบ ราชยานที่จัดแสดงเป็นราชรถที่ใช้ในงานพระเมรุ และพระเมรุมาศทั้งหมด อออกจาโรงราชรถ เราเลือกเดินไปยังตึกรูปทรงฝรั่งอันดูแปลกตากว่าอาคารอื่นใดทั้งหมด นี่คือพระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ที่สอง ผู้ทรงสร้าง"สิ่งใหม่ในสยาม" ชั้นล่างพระที่นั่งเป็นที่จัดแสดงพระราชประวัติ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ มีพระราชบัลลังก์ที่ประทับ และป้ายชื่อตามแบบธรรมเนียมจีน ส่วนชั้นบนประกอบไปด้วยห้าห้องได้แก่ ห้องสมุดและห้องทรงพระอักษร ห้องรับแขก ห้องเสวย ห้องพระบรรทม และห้องแต่งพระองค์ห้องลงสรง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าโปรดวิทยาการทางตะวันตกเป็นมาก ทรงแปลตำราคู่มือปืนใหญ่ และยังทรงต่อเรือสำเภาได้ถึงสองลำ ซึ่งล้วนแต่ใช้การได้จริง แบบจำลองเรือที่ทรงต่อขึ้น ส่วนนี้แสดงประวัติการบูรณะพระที่นั่งองค์นี้ ชั้นบนเป็นไม้ ห้องนี้คือห้องเสวยเดิม ห้องรับแขก ห้องทรงพระอักษร และห้องพระบรรทม ห้องสุดท้ายคือห้องสรงนั้น เนื่องจากพื้นที่คับแคบสักหน่อย จึงไม่สะดวกถ่ายรูปมา ออกมาจากพระที่นั่ง นาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยง หากใครเริ่มรู้สึกหิว ที่นี่มีร้านอาหารไว้บริการเดินถัดไปอีกเพียงไม่ไกล ทั้งคาวหวานมีพร้อมสรรพ รสชาติและราคาถือว่าพอรับได้ เราขอแวะฝากท้องที่นี่กันก่อน เดี๋ยวพาชมส่วนที่เหลือในบทความถัดไปนะครับ ปิดท้ายด้วยรูปเจ้าของร้านอาหาร ซึ่งขยันขันแข็งมานั่งคุมในร้านตลอด คอยกำกับไม่ให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง