เราเป็นคนหนึ่ง ในอดีตเคยทำหน้าที่ ที่หลากหลายเกี่ยวกับการเงิน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานติดตามทวงถามหนี้ทางโทรศัพท์ (ไม่ใช่บัตรเครดิตนะคะ) เจ้าหน้าที่ธุรการ ที่คอยรับโทรศัพท์ประจำสำนักงาน และมักจะต้องรับโทรศัพท์ การถูกทวงถามหนี้ของพนักงานอยู่เสมอ รวมถึงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่นในเรื่องดังกล่าวอยู่บ้างดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาบอกเล่าให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกันว่า สิ่งที่เราทำในเบื้องต้น สำหรับเหตุการณ์ต่าง ๆ มีอะไรบ้าง จะโหดระดับไหน จะแก้ไขปัญหาให้เพื่อนที่ทำงานได้อย่างไร ไปดูกันค่ะเครดิตภาพ : nastya_gepp from pixabay เราจะแบ่งประสบการณ์เหล่านี้ออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่คือ1. หน้าที่ติดตามทวงถามหนี้สินทางโทรศัพท์2. รับเรื่องการถูกทวงถามหนี้สินของพนักงานและให้คำปรึกษา3. ประสบการณ์การทวงหนี้ที่เข้มข้น (จากเพื่อน)เครดิตภาพ : 27707 from pixabay 1. หน้าที่ติดตามทวงถามหนี้สินทางโทรศัพท์หากจะถามถึงความเข้มข้น เรียกว่าอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสด ที่เป็นปัญหากันอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราสามารถเรียกพนักงานขายมาสอบถาม และให้ไปติดตามทวงถามได้ด้วย แต่สิ่งที่เราต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องคือ ต้องทำรายงานส่งหัวหน้าเดือนละ 2 ครั้ง สำหรับประวัติการพูดคุยกับลูกหนี้ แม้หัวหน้าจะอนุญาตให้โหดได้บ้าง (ห้ามหยาบคาย) แต่เราก็ไม่เคยทำ พยายามคุยดี ๆ ทุกครั้ง และขอให้ผ่อนชำระมาเรื่อย ๆ ลูกหนี้ 80% สามารถปิด job ได้ทั้งหมด อีก 20% อาหารหนัก ก็จะส่งให้หัวหน้าพิจารณาต่อไปดังนั้นในฐานะที่เคยทำหน้าที่ทวงหนี้ พอจะสรุปจากประสบการณ์ของตัวเองได้ว่า การพูดจากันดี ๆ จะทำให้มีโอกาสได้รับชำระเงินคืนได้มากกว่า (ไม่เสี่ยงโดนด่ากลับด้วย)เครดิตภาพ : skeeze from pixabay 2. รับเรื่องการถูกทวงถามหนี้สินของพนักงานและให้คำปรึกษาสำหรับหน้าที่นี้ ในครั้งแรก ๆ ยอมรับว่าหงุดหงิดทั้ง 2 ทาง ทางแรกคือ พนักงานทวงหนี้ทางโทรศัพท์ พูดน้ำเสียงราวกับเราเป็นลูกหนี้ หรือกำลังสงสัยว่าเรากำลังโกหก สรุปคือไม่ถูกใจน้ำเสียงเอาซะเลย ส่วนทางที่สองคือ หงุดหงิดกับเพื่อนพนักงาน ที่ไม่จัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อย ทำให้เราต้องมาเสียเวลากับการตอบคำถามเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่เป็นประจำจากเหตุการณ์เหล่านี้ เพื่อนพนักงานคนหนึ่งจึงขอคุยด้วย และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ว่ามีปัญหาการเงินอย่างไรบ้าง จึงทำให้เราเข้าใจเพื่อนมากขึ้น และได้แนะนำเพื่อนไปว่า หากจ่ายขั้นต่ำไม่ไหวก็หยุดจ่ายไปก่อน แล้วเก็บเงินก้อนเอาไว้ เพื่อขอส่วนลดในวันหน้า เพราะหากหมุนเงินอยู่แบบนี้ ยังไงหนี้ก็ไม่หมดไปได้แน่ ๆ ส่วนเรื่องที่มีพนักงานทวงหนี้ติดต่อมา เราจะจัดการให้เองและเป็นเพราะเหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้เราได้สั่งสมประสบการณ์ต่าง ๆ มาเรื่อย ๆ เพราะเข้าไปรับรู้ปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของผู้อื่นอยู่เป็นประจำ เอาจริง ๆ ต้องขอบคุณปัญหาของคนรอบข้างด้วยซ้ำไป ที่ทำให้เราได้เพิ่มพูนความรู้ไปโดยอัตโนมัติเครดิตภาพ : Tumisu from pixabay 3. ประสบการณ์การทวงหนี้ที่เข้มข้น (จากเพื่อน)ด้วยนโยบายของบริษัทที่เข้มข้น เพราะเป็นการทวงหนี้บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสดต่าง ๆ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เราต้องจำไว้เสมอว่าเราไม่ใช่มูลนิธิเพื่อการกุศล ดังนั้นไม่ว่าลูกหนี้จะมีข้ออ้างที่น่าสงสารแค่ไหน ก็ไม่ต้องไปสนใจ พูดหรือทวงหนี้ยังก็ได้ ขอแค่ให้ลูกหนี้ยอมจ่ายเงินก็พอ และหากถูกถามรายละเอียดส่วนตัว ก็ห้ามบอกเด็ดขาด เพราะเสี่ยงจะถูกฟ้องในข้อหาข่มขู่เอาได้เพื่อนเราเลยให้คาถาอยู่เป็นมาว่า ไม่ต้องไปสนใจคำขู่ต่าง ๆ เพราะหนี้บัตรเหล่านี้เป็นคดีเพ่ง ยังไงก็ไม่ติดคุก หากถูกขู่ว่าจะมาหาถึงที่บ้านหรือที่ทำงาน ก็ไม่ต้องสนใจ แต่ต้องอธิบายกับคนรอบตัวให้เข้าใจเอาไว้ก่อน เพราะเค้าจะทำให้เราอับอายมากที่สุด และหากเค้ามาถึงหน้าบ้านจริง ๆ ก็ไม่ต้องให้เข้าบ้าน คุยกันนอกบ้านไปเลย ถ้าดื้อมาก ๆ เราสามารถแจ้งความบุกรุกได้ที่มาเล่าให้เราฟังแบบนี้ เพื่อนก็ออกจากงานตรงนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว เพราะทนกับความดิบเถื่อนของตัวเองไม่ไหว เอาจริง ๆ บุคลิกของเพื่อนเรา ก็ไม่ค่อยเหมาะกับการทวงหนี้แบบโหด ๆ เหมือนกันเครดิตภาพ : Aymanejed from pixabay ทั้งการทวงหนี้อย่างละมุนละม่อม ทั้งการรับรู้ปัญหาของเพื่อนร่วมงาน ทั้งการรับความรู้เพิ่มเติมจากประสบการณ์ของเพื่อน ทำให้เราพอมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง เผื่อว่าวันหนึ่งอาจถึงคราวตัวเอง จะได้รับมือได้อย่างถูกต้องในบทความต่อไป เราจะซอยความรู้เหล่านี้ออกมาเป็นหัวข้อไปเรื่อย ๆ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ ในการบริหารจัดการปัญหาหนี้สินต่อไปได้บ้าง (ไม่มากก็น้อย)เครดิตภาพปก : nastya_gepp from pixabay อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม- 3 ข้อ รับมือกับสัญญาณเตือนภัยทางการเงิน- 5 แนวทางปลดหนี้แบบไม่ต้องหนีหนี้ ทำยังไง? ต้องอ่าน!!