สภาพการณ์ยุคโลกาภิวัตน์คนส่วนใหญ่มักมองการแข่งขันกับประชาคมโลกด้วยภาพของระบบเศรษฐกิจซึ่งใช้เป็นฐานในการดำรงชีวิต แต่วิถีชีวิตของแต่ละคนไม่ได้พึ่งเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว การจะพัฒนาคน พัฒนาประเทศโดยสนเพียง GDP มองถึงการขยายตัวของ GDP การสร้างเสถียรภาพให้เศรษฐกิจขยายตัวมากเป็นจุดดีที่ทำให้ต่างชาติมองภาพลักษณ์ของไทยในด้านปากท้อง อย่างไรก็ตามแนวคิดการพัฒนาไม่ได้มุ่งเน้นแต่ด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ล้อตามคือปัจจัยทางด้านสังคม ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม โดยโจทย์ใหญ่ที่ทำให้เกิดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือการหาสิ่งที่รัฐเลือกที่จะกระทำสิ่งที่ทำให้ประชาชนมีความสุข หรือที่เราเรียก “GNS” การเดินสายกลางอย่างเศรษฐกิจพอเพียงที่ทำให้คนมีทั้งรายได้ และมีความสุข ด้วยหลัก 3 ห่วง (พอประมาณ มีเหตุผล และสร้างภูมิคุ้มกัน) 2 เงื่อนไข (ความรู้ คูคุณธรรม) ซึ่งเป็นปรัชญาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ในยุคที่เราจะต้องต่อสู้ดิ้นรนกับโลกที่เปลี่ยนแปลงในทุกระดับ ตั้งแต่หน่วยสังคมที่เล็กคือครอบครัว จนถึงระดับประเทศ และนานาชาติ ประเทศที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีความสุข และอยากมีค่าเฉลี่ยอายุของประชากรในประเทศที่สูงควรเป็นประเทศที่สามารถจัดการกับระบบสาธารณสุขที่ดี เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ประเทศที่มีสาธารณสุขที่ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง” การเดินนโยบายด้วยการ “สร้างนำซ่อม” จะนำมาซึ่งการป้องกันดีกว่าการแก้ไข สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือการพยายามสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชนในประเทศ ดีกว่าการให้ประชาชนในประเทศป่วยแล้วมาหาทางรักษา เช่นเดียวกับสถานการณ์ของโรคระบาด โคโรน่าไวรัส-19 ที่ผ่านมา ประเทศที่ส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศรู้จักการป้องกันตัวเอง ก็สามารถควบคุมการติดต่อของโรคได้รวดเร็วกว่าประเทศที่ไม่ได้สนใจเรื่องการป้องกันตัวเอง อาทิการใส่หน้ากากอนามัย ถ้ามองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยซึ่งถือเป็นประเทศหนึ่งที่ต่างชาติยกย่องให้เป็นประเทศที่ถือว่ามีระบบสาธารณสุขที่ดีเมืองหนึ่งของโลก ด้วยการส่งเสริมสาธารณสุขที่ให้คนในประเทศสามารถเข้าถึงได้ สัมผัสระบบสุขภาพของตนเองได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ด้วยนโยบายรัฐบาลที่แล้วๆมา นำมาปฏิบัติต่อยอด เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ในปี พ.ศ.2544 หรือนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ประชากรประมาณ 48 ล้านคนสามารถเข้าใช้บริการได้ (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), 2020) รวมไปถึงระบบประกันสังคมที่จัดระบบรักษาพยาบาลให้คนทำงานทั้งที่เป็นประชาชนไทยและแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย สภาพการณ์ปัจจุบันประเทศไทยเน้นระบบทุนนิยม ประชาชนโดยมากสนใจเรื่องรายได้ ทุกคนมีความต้องการรายได้สูงๆ โดยขาดการสนใจความสุขของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุยุค Baby Bloom และGeneration X ที่ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งคิดถึงอนาคต และวางแผนอนาคตในระดับที่สูงขึ้น เพื่อหาระบบรองรับตนเองในอนาคต คนยุคนี้มักจะเก็บหอมรอบริบเก็บ ไม่ค่อยกล้าใช้เงิน และกลัวลูกหลานจะไม่มีเงินใช้ ในขณะที่คน Generation Y เป็นกลุ่มวัยแรงงานและกลุ่มเด็กที่จบการศึกษาใหม่ กลุ่มนี้จะมองต่างจากผู้ใหญ่โดยมองความสุขของตนเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการที่รัฐบาลนำระบบสาธารณสุขที่ดียื่นมือเข้ามาช่วยในการดูแลสุขภาพของประชาชน ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้กราฟการเจริญเติบโตเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ด้วยตัวแสดงพีระมิดหัวกลับ จากงานวิจัยหลายๆ งานพบว่าคนไทยในปัจจุบันที่อายุ 40 – 50 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มจำนวนมากของประเทศ กำลังจะยกตัวเองขึ้นมาเป็นผู้เกษียณอายุในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า แต่ด้วยคำที่มองว่าคนไทยชอบ “ความสุข” ทำให้ปัญหาหลายบ้านกลับภาระที่จะเกิดขึ้น การอยู่แบบคนโสดมีมากขึ้น และการอยู่แบบแต่งงานแต่ไม่อยากมีบุตรก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้การมองหาผู้สูงอายุในอนาคตมีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่ชนชั้นแรงงานจะลดน้อยลง เนื่องจากเด็กที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุทั้งด้านความสุข การถูกผูกมัด ทำให้หลายๆคนหันตัวเองมาหาอาชีพจากกิจการบนโลกออนไลน์แทนการเข้าสู่ระบบแรงงาน อาชีพแปลกๆในสังคมก็จะมีมากขึ้น ในขณะที่ชนชั้นแรงงานมีโอกาสเพิ่มอายุสิ้นสุดของการใช้แรงงานที่สูงขึ้นเพื่อรองรับการขาดแคลนแรงงานในอนาคต เราจะเห็นว่าอายุเฉลี่ยของประชากรไทยถูกขยับช่วงจากเดิมที่เราเคยมองว่า 63 – 65 ปี เป็น 74 ปี ด้วยระบบการทำงานที่ทำให้คนมองโลกออนไลน์เป็นตลาดแรงงาน คนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปมาหาสู่กัน ทำให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นลดน้อยลง ในขณะที่สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่รัฐบาลเลือกที่จะทำให้เราได้เลยนั่นคือระบบสาธารณสุขที่ทั่วถึงและเท่าเทียมของคนไทย ทำให้สุขอนามัยของคนไทยโดยภาพรวมดีขึ้นไปด้วย แม้กระทั่งโรคติดต่อที่กำลงระบาดหนักในต่างประเทศแต่ในประเทศกลับกลายเป็นความสามารถที่จะควบคุมโรคได้ นักวิชาการอย่างอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เคยกล่าวไว้ว่าก่อนวันที่เราจะเกษียณเราจะต้องมีเงินเก็บอย่างน้อย 5,000,000 บาท เพื่อให้เราสามารถใช้จ่ายได้อย่างน้อย 20 ปี หลังอายุ 60 ปี แต่ถ้าเรามองจากอายุเฉลี่ยของประชากรเราอาจย้อนแย้งกลับว่า โอกาสที่ประเทศไทยจะขยายพื้นที่ให้กับคนที่จะเกษียณอายุมีมากขึ้น เช่นอาจจะเพิ่มจากที่เคยเกษียณอายุจาก 60 ปี อาจจะเป็น 65 – 70 ปีก็อาจจะเป็นได้ ด้วยการใช้แรงงานคนที่ยังอยู่ในตลาดแรงงานและยังสามารถทำงานรับใช้องค์กรได้อยู่ โดยที่องค์กรหรือหน่วยงานราชการจะต้องแบ่งเงินให้กับคนกลุ่มนี้ไว้ใช้ทั้งที่หมดประโยชน์กับองค์กรไปแล้ว เช่นเดียวกับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ให้พนักงานที่กำลังเกษียณอายุสมัครเพื่อทำงานต่อในองค์กร โดยการต่ออายุเป็นแบบรายปี อาจจะลดเงินเดือนลงและถูกย้ายหน้าที่งาน แต่เป็นการมองถึงศักยภาพของพนักงานที่ยังสามารถทำงานให้กับองค์กร แทนการให้พนักงานที่อายุมากแต่ยังสามารถทำประโยชน์กับองค์กรต้องรู้สึกว่าหมดประโยชน์หลังเกษียณอายุ และกลับไปอยู่บ้านโดยไม่รู้จะเริ่มชีวิตตนเองในระบบใหม่อย่างไร ตัวอย่างจากผู้จัดการท่านหนึ่งที่เคยเป็นผู้จัดการสายงานเบียร์ เมื่อเกษียณอายุผู้จัดการท่านนี้ยังได้รับการจ้างต่อแต่ถูกย้ายสายงานไปดูแลการกระจายด้านสุรา หรือ ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เมื่อเกษียณอายุบริษัทไม่ได้เลิกจ้างแต่ให้ขึ้นตำแหน่งที่ปรึกษากรรมผู้จัดการ เพื่อคอยสอนและแนะนำกรรมการผู้จัดการสายงานเดิมที่ตนเคยทำงานอยู่ เป็นต้น ระบบการให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุที่มากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุมีความรู้สึกถึงคุณค่าของตนที่ยังสามารถทำงานได้ และไม่รู้สึกถึงความเป็นภาระต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่ผู้สูงอายุจะสามารถทำให้ตนเองมีคุณค่าขึ้นมาไม่เพียงเพราะความสามารถของผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าความสามารถคือด้านสุขภาพที่แสดงให้เห็นถึงความมี “กำลังวังชา” ดังนั้นในการหยุดทำงานของคนในยุคสมัยก่อนมักสัมพันธ์กับรายได้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “มากที่สุด” หมายความว่า จะต้องมีเงินออมที่มากที่สุด ภายใต้ความคิดที่ว่า ต้องทำให้มากที่สุดจนกว่าจะไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งคนสมัยก่อนจะมองภาระของตัวเองเกินอายุ 60 ปี ด้วยกลัวภาระที่จะต้องพึ่งพิงลูกหลาน กับการถูกทอดทิ้ง ในด้านสุขภาพผู้สูงอายุหลายท่านมักพยายามทำให้ตนเองมีช่วงของวัยทำงานที่ยาวที่สุด แก่ช้าที่สุด ให้ชีวิตในช่วงที่เจ็บป่วยสั้นที่สุด และภาระหลังการเจ็บป่วยจะรู้สึกถึงการกลั้นใจและสิ้นใจให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ต้องเป็นภาระของคนในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ สังคมของผู้สูงอายุในสภาพความเป็นจริงคือการหัดให้คนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นลูกๆ หรือหลานๆ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมให้การเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้สูงอายุ เพื่อรองรับอนาคตและลดภาระการทอดทิ้ง โดยการส่งเสริมระบบครอบครัวและชุมชนให้สามารถช่วยเหลือและดูแลตนเอง ดังนั้นทฤษฎี “Reinventing Government” ซึ่งเป็นแนวคิดการบริหารภายใต้ระบบที่รัฐบาลมีภาระงานที่มากขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (งบประมาณและบุคลากรน้อยลง) และต้องการความโปร่งใส ประชาชนมีส่วนร่วม ทำให้ระบบของชุมชนเข้ามามีส่วนในการเข้ามาดูแลประชาชนในชุมชนของตนเอง เช่นการใช้ประโยชน์จากหัวหน้าชุมชน หรือเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร (อสม.) รวมไปถึงเจ้าหน้าที่จิตอาสาที่ลงไปมีส่วนร่วมกับทางโรงพยาบาลชุมชน เพื่อจัดการอบรมและจัดทีมเข้ามาดูแลคนในชุมชนของตนเองได้ลึกซึ้งมากขึ้น ทั้งผู้สูงอายุ ผู้เจ็บป่วย รวมไปถึงผู้มีปัญหาด้านสุขภาพเช่นผู้ป่วยติดเตียง (Osborne David and Gaebler Ted) นอกจากด้านสุขภาพของผู้สูงอายุแล้ว ในด้านของชุมชนยังรวมไปถึงการเข้าสังคมในชุมชน มีการจัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่อยู่บ้านไม่รู้สึกโดดเดี่ยวไร้ค่า ด้วยการจัดสอนการส่งเสริมอาชีพ ภาพใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่มีการส่งเงินลงมายังชุมชน แล้วให้แต่ละชุมชนจัดประชุมแบบมีส่วนในการจัดกิจกรรมร่วมกัน เช่นการส่งเสริมอาชีพให้กับประชาชนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ผู้สูงอายุออกมาร่วมกันจัดกลุ่มเพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับผู้สูงอายุ อาทิเช่นเทศบาลตำบลแก่งคอย ในส่วนของชุมชนเลียบสันติสุข ในปี พ.ศ. 2562 ประธานชุมชนร่วมกับเทศบาลเมืองแก่งคอยมีการนัดประชุมประชาชนในชุมชนให้ออกมาร่วมกันออกความเห็น และโหวตเรื่องงบที่จะได้รับจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อบริหารจัดการ จากการประชุมในปีดังกล่าว ผลการลงความเห็นคือเน้นการส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืน โดยการเล็งเห็นถึงสินค้านำร่องของจังหวัดสระบุรีคือกะหรี่ปั๊บ โดยการร่วมกลุ่มกันนัดสอนทำ และร่วมกันผลิตเพื่อนำออกจำหน่ายเป็นสินค้าของชุมชน ซึ่งผู้ที่สนใจส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุที่เกษียณอายุจากการทำงาน ออกมาร่วมกันทำขนม โดยที่กำไรที่ได้จากการขายกะหรี่ปั๊บส่วนหนึ่งนำมาบริหารในชุมชนเลียบสันติสุข ส่วนที่เหลือก็แบ่งออกเป็นค่าแรงผู้ร่วมทำ เพื่อให้เห็นเม็ดเงินในการออกมาทำร่วมกัน เสมือนเป็นค่าจ้างผู้สูงอายุ ถึงแม้จะเม็ดเงินมูลค่าไม่สูงแต่เมื่อได้มา ก็ทำให้คนในชุมชนรู้สึกถึงความภาคภูมิใจแทนการผลักภาระผู้สูงอายุให้กับรัฐบาล เช่นการฝากผู้สูงอายุไว้กับสถานสงเคราะห์เป็นต้น สิ่งที่รัฐบาลพยายามนำมาเป็นตัวเดินหน้าของประเทศทำให้ความรู้สึกของผู้สูงอายุไม่ใช่ภาระของประเทศอีกต่อไป ทั้งระบบที่รัฐบาลเสนอให้ในด้านของสาธารณสุขที่เป็นตัวชูที่ต่างประเทศสนับสนุนด้านสุขภาพของประชาชนไทย ทั้งการดูแลด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม การใช้ชุมชนในการมีส่วนร่วมตามหลักการบริหาร เพื่อลดภาระงานของรัฐบาลที่น้อยลง และการนำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีมาใช้เป็นตัวเดินการทำงานร่วมกัน และความรู้สึกถึงการเห็นค่าของคนต่อหน้าที่ ภาระงาน และการอยู่ร่วมกันแทนการโดดเดี่ยว Bibliography Osborne David and Gaebler Ted. (n.d.). Reinventing Government. (พัชระ อิสระเสนา ณ อยุธยา, Trans.) กรุงเทพฯ: บริษัท คู่แข่ง จำกัด. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). (2020, สิงหาคม 20). สถิติและรายงาน. Retrieved from https://www.nhso.go.th: https://www.nhso.go.th/frontend/page-contentdetail.aspx?CatID=MTA5NQ== ขอบคุณรูปประกอบสวยๆจาก คุณภุมรา วิบูลย์รัตนศรี ในฐานะ อสม. และประธานชุมชน รูปปก : https://www.pexels.com/th-th/search/ รูปที่ 1 : โดยผู้เขียน รูปที่ 2 : จัดทำโดยผู้เขียน รูปที่ 3 : โดยคุณครูปิยพาณัฐ ภูสุธีคำมาวงษ์ รูปที่ 4 : โดยผู้เขียน ข้อมูลจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รูปที่ 5 - 7 : โดยคุณภุมรา วิบูลย์รัตนศรี