อื่นๆ

เสียงปริศนา

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เสียงปริศนา

บางสิ่งที่เรามองไม่เห็นในเวลาปกตินั้น ผมคิดว่ามีอยู่รอบ ๆ ตัวของเราในทุกที่ และบางครั้งเราได้ทำอะไรบางอย่างที่ “เขา” ไม่พอใจโดยที่เราไม่รู้ตัว และ “เขา” จะทำกับเราในรูปแบบใดนั้น เราไม่มีทางรู้ได้เลย

ในวันนั้นญาติที่กรุงเทพโทรมาหาพ่อผมบอกว่า พี่ชายของพ่อได้เสียชีวิตแล้ว ครอบครัวผมจึงต้องเดินทางจากจังหวัดเพชรบูรณ์เข้าไปในกรุงเทพ เมื่อไปถึงกรุงเทพ เราก็เข้าไปที่บ้านคุณย่า พ่อก็ได้ถามความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพี่ชาย หรือลุงของผมนั่นเอง หลังจากนั้นเราก็พักผ่อน เพื่อพรุ่งนี้จะได้ไปที่วัดกัน

ช่วงเช้าเราก็เดินทางไปที่วัด ก็พูดคุยแสดงความเสียใจกับครอบครัวของคุณลุง มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลกัน เราก็มากันที่วัดทุกวัน และเป็นปกติของเด็ก ๆ อย่างผมที่จะไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นในวัดตอนที่พ่อกับแม่ช่วยงานอยู่ ผมจำได้ว่าที่วัดนั้นมีสนามหญ้าที่กว้างมากพอที่จะให้เล่นฟุตบอลได้ ผมก็ได้ไปเตะบอลกับเด็ก ๆ พวกนั้น มาทุกวันก็เล่นทุกวัน แต่จำไม่ได้ว่าได้ทำอะไรไปบ้าง เนื่องจากไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

Advertisement

Advertisement

ในวันก่อนวันปลง ผมจะเดินไปหาน้ำหรือของกินสักอย่าง ผมรู้สึกว่าผมได้กลิ่นแปลก เหมือนกลิ่นเนื้ออะไรไหม้ มองไปก็ไม่เห็นมีใครทำอะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจ เดินไปหาของกินต่อ

และเมื่อเสร็จงานแล้ว ครอบครัวผมก็เดินทางกลับ เวลานั้นน่าจะค่อนข้างดึกแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าถึงไหนแล้วตอนนั้น แต่จำได้ว่า 2 ข้างทางเป็นป่าทึบ

ภาพจาก https://wallhere.com/th/wallpaper/513022

ผมเริ่มได้ยินเสียงบางอย่าง ซึ่งจำได้ชัดเจนมาก ว่าเป็นเสียง ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด แต่ไม่ใช่เสียงนาฬิกา เพราะไม่มีใครใส่นาฬิกาเลย และถ้าฟังดี ๆ จะไม่ใช่เสียงที่ดังอยู่ข้างในรถ ผมถามพ่อว่า เสียงอะไร พ่อบอกว่าไม่เห็นได้ยินเลย ส่วนแม่นั้นหลับอยู่

ผมยังคงได้ยินเสียงนั้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะห่างออกไป ทั้ง ๆ ที่รถก็วิ่งด้วยความเร็วที่ไม่น้อยเลย แต่เสียงกลับยังได้ยินชัดเจนอยู่ ผมมารู้สึกว่าเสียงนั้นหายไปตอนที่ผมถึงในตัวเมืองของจังหวัดเพชรบูรณ์แล้ว และเมื่อถึงบ้านผมก็ไม่ได้นึกถึงเสียงนั้นอีก อาจจะด้วยความเหนื่อยจากการนั่งรถด้วย

Advertisement

Advertisement

แต่พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่า ผมมีอาการเป็นไข้สูง ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนยังปกติอยู่ พ่อพาผมไปหาหมอหลายวันแต่อาการยังไม่ทุเลาลง จนแม่ผมบอกว่าให้พาไปที่บ้านแม่หมอแห่งหนึ่งตามที่เพื่อนแม่แนะนำมา ให้เค้าดูหน่อยดีกว่า พ่อเห็นด้วยก็เลยพากันไปหาแม่หมอ

https://wallhere.com/th/tag/175

ที่บ้านแม่หมอ ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนักจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อนที่มีใต้ถุน มีชานหน้าบ้าน บ้านนั้นจะอยู่ในสวน เราเดินขึ้นบันไดไป ก็พบแม่หมอ ซึ่งก็ดูเหมือนคุณยายใจดีคนหนึ่ง แม่หมอถามว่า “เป็นอะไรมากันล่ะลูก”

แม่ผมจึงเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่กลับจากงานศพ กรุงเทพก็เป็นไข้ไม่ยอมหาย กินยาก็แล้วอะไรก็แล้ว แต่ไข้ไม่ลดลงเลย พอแม่หมอฟังแล้วก็ขยับมาใกล้ๆ ผม เอาขี้ผึ้ง (ตามที่แม่หมอบอกกับแม่ผมว่าสิ่งที่ทานั้นคืออะไร) แม่หมอทาวน ๆ ตรงหน้าผากผม แล้วก็พูดขึ้นมาว่า ไปทำอะไรไม่เหมาะสมไว้ที่วัดใช่ไหมลูก เขาไม่พอใจเลยทำให้เราเป็นไข้ไม่หายอยู่นี่เอง  พ่อกับแม่มองหน้ากันแล้ว ก็ถามผมว่าไปทำอะไรมาจำได้ไหม ผมบอกว่าผมจำไม่ได้ แม่หมอบอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวไหว้ขอขมาเขาก็จะดีขึ้น

Advertisement

Advertisement

แม่หมอก็จัดเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน ให้ผมไหว้ต่อหน้าพระพุทธรูปในบ้านแม่หมอ แล้วก็ให้ผมบอกว่าขอขมาในสิ่งที่ทำโดยไม่ได้ตั้งใจ และขอได้โปรดอภัยให้ เสร็จแล้วแม่หมอก็แนะนำให้ทำบุญใส่บาตรอุทิศบุญให้เขาด้วย

ที่ไม่น่าเชื่อคือ พอวันรุ่งขึ้น ผมหายจากอาการไข้ มีเพียงอาการอ่อนเพลียไปบ้าง เพราะกินข้าวไม่ค่อยได้ แม่ผมจึงพาไปทำบุญใส่บาตรตามคำแนะนำของแม่หมอ

และเชื่อไหม เหตุการณ์แบบนี้ผมมาเจออีกครั้งตอนผมเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพ ตอนนั้นผมมาอาศัยอยู่ที่บ้านคุณย่า มาอยู่ได้ 2 วัน ผมเป็นไข้สูงเหมือนกัน ไปหาหมอทั้งที่คลีนิค และโรงพยาบาลก็ไม่หาย จนกระทั่งคุณย่าเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้ไหว้บอกเจ้าที่ว่าผมจะมาขออาศัยอยู่เพื่อเรียนด้วย พอคุณย่าทำการไหว้บอกกล่าวเสร็จ วันต่อมาผมก็มีอาการดีขึ้นอย่างน่าแปลกใจ และทำให้ผมรู้ว่าเวลาอยู่ที่ไหน ต้องบอกกล่าวหรือขอขมาไว้ก่อนเลย เผื่อว่าเราทำสิ่งใดที่เป็นการไม่เหมาะสมแก่สถานที่นั้น ๆ โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์