เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "บางกระเจ้าคือปอดของกรุงเทพ" แต่แท้ที่จริงแล้วนั้น "บางกะเจ้าคือปอดของทุกคน และบางกระเจ้าอยู่ในสมุทรปราการ อ.พระประแดง" ผู้เขียนเป็นคนวัยต้น ๆ ของ Gen Z นั่นแปลว่าผู้เขียนเองอายุอยู่ในวัยของนักศึกษา ซึ่งด้วยเงื่อนไขชีวิตต่าง ๆ นานา ผลักให้ต้องจำจรจากบ้านมาศึกษาในถิ่นแดนไกล ประกอบด้วยโตมากับความเป็นทุนนิยม ความมีช่องว่างระหว่างบ้านเรือน และความเป็นปัจเจกบุคคล ทำให้ไม่มีความรู้สึกผูกพันหรือภูมิใจใด ๆ ในถิ่นบ้านเกิด "สมุทรปราการ" มากนัก รู้เพียงแค่ว่าสมุทรปราการนั้นมี "ป้อมยุทธนาวี พระเจดีย์กลางน้ำ ฟาร์มจระเข้ใหญ่ งามวิไลเมืองโบราณ สงกรานต์พระประแดง ปลาสลิดแห้งรสดี ประเพณีรับบัว ครบถ้วนทั่วอุตสาหกรรม" หลายพื้นที่ในคำขวัญประจำจังหวัดนี้ ผู้เขียนยังมิเคยย่างกรายเข้าไปใกล้ชิดสักนิดเสียด้วยซ้ำ แต่เหมือนโอกาสชักพาให้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้เรื่องราวของบ้านเกิดมากขึ้น เนื่องด้วยเมื่อปลายปี 61 วิชาเรียนวิชาหนึ่งของทางมหาวิทยาลัยให้ลงไปศึกษาความเป็นชุมชน ซึ่งสมาชิกภายในกลุ่มลงความคิดเห็นคล้อยตามกันว่า งั้นเราไป "ตำบลบางน้ำผึ้ง" กันเถอะ การศึกษาชุมชนครั้งนั้นทำให้ผู้เขียนซึมซับถึงความเป็นสมุทรปราการในอีกมิติหนึ่ง เรื่องราวเหล่านั้นทำให้ผู้เขียนเริ่มเกิดตกผลึกทางความคิด จนกระทั่งเกิดความตระหนักและความภาคภูมิใจในถิ่นสมุทรปราการของเราอย่างเต็มหัวใจ ในวันนี้ผู้เขียนจึงจะจัดการปัดฝุ่นรายงาน และรูปถ่ายต่าง ๆ ในครั้งนั้นขึ้นมาร่ายเรียงใหม่อีกครั้ง ในรูปแบบของบทความสะท้อนถึงความเป็นชุมชนและวิสาหกิจชุมชน มิใช่รายงานเพื่อส่งอาจารย์ และหวังว่าหากใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่านบทความนี้ จะสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของความเป็นชุมชนเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงชื่อว่า "บางน้ำผึ้ง" ในอดีตนั้นชาวบ้านภายในชุมชนทำอาชีพชาวสวนกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ ผลไม้ต่าง ๆ นานา เช่น ต้นส้มเขียวหวาน ต้นมะม่วง ต้นกล้วย ต้นมะพร้าว และอื่น ๆ จึงมีต้นไม้สูงใหญ่อยู่ภายในชุมชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ผึ้งมาทำรังอยู่บนต้นไม้เยอะตามไปด้วย เมื่อผึ้งมา น้ำผึ้งก็ย่อมเกิด นั่นคือที่มาของคำว่า "บางน้ำผึ้ง" และเจ้าผึ้งน้อยทั้งหลายนั้นยังก่อให้เกิดประเพณีภายในชุมชนที่เป็นการตักบาตรน้ำผึ้งในวันออกพรรษาอีกด้วย แต่ปัจจุบันต้นไม้ลดลงเยอะมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมหนัก ทำให้ผึ้งก็ลดลงไปมากด้วย แต่ยังคงมีประเพณีตักบาตรน้ำผึ้งในวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์อยู่ เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีดั้งเดิมของชุมชนบางน้ำผึ้ง "ตลาดบางน้ำผึ้ง" ตลาดบางน้ำผึ้งคือสถานที่แรกที่พวกเราลงไปเพื่อศึกษาข้อมูล ซึ่งสิ่งที่เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นชุมชนนั้น คือร้านแห่งนี้ "วิสาหกิจชุมชนหัตถศาสตร์เพื่อสุขภาพ" ในบูธจะมีสินค้าเพื่อสุขภาพวางขายมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ช่วยในเรื่องของการลดปวดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สินค้าแทบทุกอย่างภายในร้านจะทำมาจากสมุนไพรที่หาได้ภายในชุมชน และคนที่ทำอยู่ในกลุ่มวิสาหกิจนี้ก็เป็นคนในชุมชนเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นวิสาหกิจของชุมชนอย่างแท้จริง พิมเสนน้ำเหล่านี้หอมมาก ผู้เขียนซื้อมาสองกลิ่น เป็นกลิ่นส้มกลิ่นหนึ่ง และอีกกลิ่นหนึ่งที่ผู้เขียนจำไม่ได้ เพราะคุณพ่อชอบใจมากจนเอาไปเสียแล้ว ... หากใครแวะผ่านไป ผู้เขียนแนะนำให้หิ้วสิ่งนี้กลับบ้านมาอันสองอัน แล้วจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีเพื่อนบางคนทักถามผู้เขียนอยู่เรื่อย ๆ ว่าจะได้มีโอกาสแวะไปที่ตลาดบางน้ำผึ้งอีกหรือไม่ เพราะหลังจากลองทาลองดมพิมเสนน้ำแล้วติดใจมาก เพราะฉะนั้นรับประกันความหอมได้แน่นอนค่ะ นอกจากพิมเสนน้ำแล้วก็ยังมีสินค้าอีกมากมาย อาทิ ลูกประคบสมุนไพร และหมอนรองคอประคบร้อน ในครานั้นที่พวกเราไปกันถือเป็นความโชคดีอย่างมาก ที่ทางผู้ใหญ่ในกลุ่มวิสาหกิจให้ความร่วมมือกับพวกเรานักศึกษาเป็นอย่างมาก มีรอยยิ้มและความใจดีเมตตาให้พวกเราตลอดการสนทนา และให้ทดลองใช้หมอนประคบร้อนดูกันอีกด้วย ซึ่งหมอนประคบร้อนนั้นใช้งานได้เป็นอย่างดีจริง ๆ แม้กลุ่มนักศึกษาจะลองใช้กันคนละไม่กี่นาที แต่ก็รู้สึกสบายช่วงคอเป็นอย่างมาก จนหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหากมีโอกาสจะกลับมาซื้อไปฝากคุณพ่อคุณแม่แน่นอน ผู้เขียนไม่แน่ใจว่ายังคงมีบูธของทางวิสาหกิจตั้งอยู่ในตลาดบางน้ำผึ้งหรือไม่ แต่หากใครสนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับวิสาหกิจได้ที่ 084-009-2266 นะคะ หลังจากพวกเราได้เรียนรู้ถึงวิสาหกิจชุมชนมากพอสมควรแล้วก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปเพื่อศึกษาวิสาหกิจชุมชนอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ก่อนจะไปก็ขอแวะเดินตลาดเพิ่มพลังในการศึกษาชุมชนสักหน่อยแล้วกันค่ะ พวกเราปั่นจักรยานหลง ๆ เลย ๆ มาพอสมควร แม้จะปั่นอยู่แต่ในเขตของตำบลบางน้ำผึ้งอย่างเดียว ก็สามารถหลงได้นะคะ ไม่อยากจะคิดภาพเลยว่าถ้าศึกษาทั้งคุ้งบางกะเจ้าจะหลงขนาดไหน แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายของเราแล้วสักที "บ้านธูปหอมสมุนไพร" ภายในบ้านจะมีเป็นกิจกรรมสอนทำธูปหอมสมุนไพร และผ้ามัดย้อมค่ะ หากใครสนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ทาง Facebook fanpage : บ้านธูปหอมสมุนไพร ได้เลยนะคะ แนะนำว่าหากใครสนใจเข้าไปทำกิจกรรม ควรลองติดต่อจองล่วงหน้านะคะ เพราะแต่ละกิจกรรมใช้เวลานานพอสมควร อาจจะรับจำกัดจำนวนคนต่อวันค่ะ การลงศึกษาครั้งนี้พวกเราได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณสุวัฒน์ หรือผู้ริเริ่มก่อร่างสร้างฐานของธูปหอมสมุนไพรด้วยค่ะ ซึ่งผู้เขียนเองสัมผัสได้ถึงหัวใจที่ภาคภูมิใจและรักในชุมชนของคุณสุวัฒน์เป็นอย่างมากจริง ๆ โดยสรุปแล้วก็คือวิสาหกิจนี้เริ่มต้นมาจากหลายปีก่อนชุมชนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้แหล่งเกษตรกรรมได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ดินบางส่วนไม่สามารถใช้ทำเกษตรเช่นเดิมได้ คุณสุวัฒน์จึงพยายามริเริ่มหาลู่ทางสร้างนวัตกรรมขึ้นมา ซึ่งลองผิดลองถูกอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งได้มาเป็นธูปหอมสมุนไพร ที่ใช้สมุนไพรที่หาได้ง่าย ๆ ภายในชุมชน และขยายความรู้ในการทำออกไปสู่คนในชุมชนในละแวกบางกะเจ้า จนกระทั่งในระยะหลังมานี้ก็เริ่มมีการสอนให้แก่บุคคลทั่วไปภายนอกได้เรียนรู้วิธีในการทำ เพื่อเป็นการสืบสานและรักษาธูปหอมสมุนไพรนี้ไว้ต่อไป ตัวอย่างธูปหอมสมุนไพรที่อยู่หน้าบ้านของคนในชุมชนท่านหนึ่ง คนในชุมชนหลายท่านยังคงทำธูปหอมสมุนไพรเป็นอาชีพอยู่ ผู้เขียนเห็นว่าบางท่านเป็นผู้สูงอายุแล้วก็ยังคงทำธูปหอมสมุนไพรเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่าการทำธูปหอมสมุนไพรนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกเพศทุกวัยและเป็นวิสาหกิจหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากในการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและคนในชุมชนได้อยู่อย่างยั่งยืน หลังได้ข้อมูลเชิงลึกของวิสาหกิจชุมชนอีกอย่างแล้ว พวกเราก็ยืนรับลมชมธรรมชาติกันที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้เขียนรู้สึกหัวใจพองโต เพราะการได้เห็นถึงความเป็นชุมชนเช่นนี้ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอบอุ่นหัวใจแทนผู้คนในชุมชนที่มีผู้นำชุมชนเก่ง ๆ หลายท่านที่ริเริ่มนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา และสานต่อเผยแพร่ให้คนในชุมชนได้ทำเป็นอาชีพกันต่อไป เป็นเสมือนโยงใยของแมงมุมที่เชื่อมต่อกันเสมอในทุก ๆ พื้นที่ ไม่มีคนใดจะถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน หลังจากนั้นผู้เขียนก็เดินกลับมหาวิทยาลัย จากถิ่นบ้านเกิดไปอีกครั้งทั้งที่เพิ่งเหยียบถิ่นสมุทรปราการได้เพียงไม่ถึงครึ่งวัน แต่ไม่รู้จะเรียกว่าเคราะห์หรือบุญดี ที่พวกเรายังขาดข้อมูลบางส่วนอยู่ ผู้เขียนและเพื่อนอีกสองคนจึงต้องเดินทางกลับมายังบางน้ำผึ้งแห่งนี้ เพื่อสัมภาษณ์ข้อมูลภายใน อบต.บางน้ำผึ้ง อีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้มีเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ผู้เขียนไม่มีเวลาจะได้หยิบอะไรขึ้นมาแชะภาพไว้เลย .. เรื่องน่าเศร้าของเด็กมหาวิทยาลัยเสียจริง ๆ จากการสัมภาษณ์ทำให้พวกเราได้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดน้ำบางน้ำผึ้งว่าจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เริ่มมาจากการเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหนักและฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 ซึ่งกระทบต่ออาชีพคนในชุมชนเป็นอย่างมาก เมื่อน้ำลดและคนในชุมชนเริ่มฟื้นตัวได้ ก็ไม่สามารถปลูกต้นไม้และผลไม้ที่เคยปลูกได้อีกต่อไป เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหมด จึงเกิดอาชีพใหม่ ๆ ขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นการทำสินค้า OTOP แต่ก็ยังไม่มีตลาดที่สะดวกเพียงพอให้คนในชุมชนมาขายสินค้า ฉะนั้น อบต.บางน้ำผึ้งจึงก่อตั้งตลาดน้ำบางน้ำผึ้งแห่งนี้ขึ้น ให้เป็นช่องทางหนึ่งที่คนในชุมชนจะสามารถนำสินค้าต่าง ๆ มาขายได้ เรียกได้ว่าตลาดน้ำบางน้ำผึ้งคือตลาดน้ำของชุมชนเพื่อคนในชุมชนอย่างแท้จริง เพราะการที่จะนำสินค้ามาขายภายในตลาดได้นั้นจะต้องยื่นหลักฐานเพื่อแสดงตนว่าเป็นสมาชิกภายในชุมชนจริงหรือไม่ด้วย ซึ่งบุคคลที่สามารถจะนำสินค้ามาจำหน่ายภายในตลาดน้ำบางน้ำผึ้งได้ ต้องเป็นสมาชิกอยู่ภายใน 6 ตำบล คือ ตำบลบางน้ำผึ้ง ตำบลทรงคนอง ตำบลบางกระสอบ ตำบลบางยอ ตำบลบางกะเจ้า และตำบลบางกอบัว แต่โดยส่วนใหญ่ร้านค้าต่าง ๆ ก็จะเป็นของคนในพื้นที่ ต.บางน้ำผึ้งมากที่สุด จากนั้นผู้เขียนก็กลับมหาวิทยาลัยเช่นเดิม เตรียมตัวนำเสนองานศึกษาชุมชนทั้งหมด ซึ่งที่จริงมีมากกว่านี้อีกมากมายและมีผู้นำกลุ่มอีกหลายท่านที่พวกเราได้ทำการพูดคุยด้วย หากใครสนใจเรื่องราวเพิ่มเติมมากกว่านี้ ผู้เขียนอยากให้ลองลงพื้นที่ด้วยตนเองเลยค่ะ และพวกคุณจะได้รู้สึกถึงความเข้มแข็งของชุมชน ความเข้มแข็งของกลุ่มผุ้นำ และความเข้มแข็งของคนในชุมชน ดั่งเช่นที่ผู้เขียนรู้สึกอย่างแน่นอน แม้เรื่องราวจะผ่านมานับปี แต่ผู้เขียนยังคงจำความรู้สึกในการลงชุมชนในครานั้นได้อยู่เต็มหัวใจ แต่เดิมผู้เขียนเคยท่องเที่ยวแต่เพียงเอาความสนุกและตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งแปลกใหม่ แต่เมื่อได้ลองลงท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กับการศึกษาชุมชนดี ๆ เช่นนี้ทำให้ผู้เขียนได้รับความอบอุ่นอบอวลอยู่เต็มหัวใจ ผู้เขียนเชื่อว่าแม้จะผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่ผู้นำกลุ่มต่าง ๆ ภายในชุมชนยังคงมีความเข้มแข็ง ความเป็นผู้นำ และความรักในชุมชนของตนเองอยู่เช่นเดิมอย่างแน่นอน และหากผู้ใหญ่บางท่านได้บังเอิญเข้ามาอ่านบทความนี้ ก็อยากให้ท่านได้ทราบว่าพวกท่านได้ถ่ายทอดความรักต่อชุมชนให้พวกเราเห็นได้อย่างชัดเจน และในวันนี้ตัวหนูเองก็รู้สึกรักในความเป็นสมุทรปราการเช่นเดียวกันกับพวกท่านเหมือนกันค่ะ :) ___________________________________________________________________ วิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุด : ทาง BTS ลงที่สถานีบางนา เดินไปทางออกสี่แยกบางนา ฝั่งวัดบางนาใน จะมีรถสองแถวสีแดงให้บริการอยู่ในบางเวลา หรือหากไม่เจอก็สามารถเรียกพี่วินเข้ามาได้ค่ะ บอกว่าลงที่ท่าเรือวัดบางนาในได้เลย พี่วินจะมาจอดตรงท่าเรือเลยค่ะ และก็โดยสารเรือข้ามฟากมาลงที่ฝั่งบางกะเจ้าได้เลย พอขึ้นฝั่งไปต่อจากนั้นใครใคร่ท่องเที่ยวอย่างไรก็ตามแต่ความต้องการเลยค่า จะมีทั้งจักรยานให้เช่าสำหรับคนที่ตั้งใจจะปั่นชมหลาย ๆ สถานที่และพี่วินมอเตอร์ไซค์คอยให้บริการสำหรับคนที่ตั้งใจมาเยี่ยมชมแค่บางที่ค่ะ