เราชอบวิชาภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก เพราะด้วยความที่บ้านเราเปิดเพลงสากลบ่อยมาก โดยเฉพาะพ่อของเราที่ชอบเปิดเพลงของวง Bee Gees, Carpenter และ John Denver เป็นต้น ถามว่าเราฟังรู้เรื่องมั๊ย ? ตอบเลยว่าไม่ แล้วทำไมชอบฟัง เพราะเราชอบทำนองของเพลง พอฟังไปเรื่อย ๆ ก็เกิดความสงสัยว่า ชื่อเพลงแปลว่าอะไร แล้วเนื้อร้องมันแปลว่าอะไรบ้าง เราถามพ่อ พ่อตอบได้หมดเลยว่าเพลงนี้เกี่ยวกับอะไร เหมือนมันจุดประกายเราเพิ่มเติมว่า แล้วสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เรียกภาษาอังกฤษว่าอย่างไร เราเริ่มถามพ่อทุกคำ เมื่อเราเห็นอะไร เราก็ถามพ่อทันทีว่า สิ่งนั้นเรียกภาษาอังกฤษว่าอย่างไร แล้วจุดพีคที่สุดที่เราเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษจริงจังคือ ครอบครัวเราชอบดูซีรีย์ต่างประเทศมาก ๆ เรามีความสงสัยมาตลอดว่า เค้าพูดได้อย่างไร พูดเร็วด้วย ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เราก็ยังดูเพราะหลงสำเนียงของคนต่างประเทศ เราเลยเริ่มต้นตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา1. เริ่มด้วยที่คำศัพท์ โรงเรียนเดิมของเราเป็นโรงเรียนคริสต์ และเน้นวิชาภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก ซึ่งทางโรงเรียนให้สมุดคำศัพท์ตั้งแต่ ป.1 – ป.6 แล้วบังคับให้ท่องตามที่กำหนดไว้ ถ้าท่องไม่ทันก็โดนทำโทษ (ถือว่าฝึกความรับผิดชอบ) เราก็ฝึกกับพ่อตอนเย็นทุกครั้ง ท่องไม่ได้พ่อก็ไล่ให้ไปจำใหม่ แม่ก็ออกแบบฝึกหัดให้โดยแม่จะเขียนภาษาไทยแล้วให้เราเขียนภาษาอังกฤษ และจะมีช่วงหนึ่งที่ครูจะสอบเขียนตามคำบอกที่เรารู้จักกันดีคือว่า Dictation ซึ่งเรา Top มาโดยตลอด (อวยตัวเองนิดนึง) แต่พอมาตอน ม.1 – ม.3 ก็ไม่มีสมุดคำศัพท์แล้ว แต่จะมีหนังสือพิมพ์วัยรุ่นชื่อ Student Weekly มาส่งทุกเดือน ครูบังคับให้นักเรียนทุกคน สรุปข่าวตามที่เราสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เพราะฝึกให้เราอ่านจับใจความให้เป็น และได้เรียนรู้คำศัพท์ด้วย2. เริ่มมีปัญหากับ Grammar แล้ว บอกเลยว่า ตั้งแต่ ป.1 – ป.6 เราเทพไวยากรณ์มาก เพราะครูบังคับให้ท่อง 12 Tense วิธีการจำของเราคือแบ่งออกเป็น อดีต, ปัจจุบันและอนาคต แล้วเราก็ผัน Tense โดยยึด 3 Tense หลักคือ Present Simple, Past Simple และ Future Simple Tense ตอนเรียน ม.1 – ม.3 เรายังรอด แต่พอ ม.4 – ม.6 เราเริ่มมีปัญหาแล้วเพราะว่ากฏเริ่มมีเยอะแยะมากมาย พวกกับเรื่องอื่น ๆ ที่เราต้องจำเช่น Finite and Non Finite Verb, Relative Clause เป็นต้น แต่เราเริ่มถอยและท้อมาก แต่เราก็นึกย้อนไปว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว สู้ต่อไปสิ และอีกอย่างว่าอาชีพทุกอาชีพต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารด้วย เราก็สู้ต่อไปค่ะโดยเราไม่ถามเหตุผล เราจำหลักการและมองเป็นภาพใหญ่ ๆ เช่น Relative Clause ใช้ขยายคำที่อยู่ข้างหน้า เป็นต้น3. ฝึก Listening ภาษาอังกฤษจนเริ่มงง งวย เราเริ่มฝึกฟังตอนเรียน Part Listening ประโยคค่อนข้างง่าย เรายังโอเค แต่พอเจอครูชาวต่างชาติมาสอนเกี่ยวกับ Listening ก็เริ่มงงแล้ว แต่ถือว่าเป็นการฝึกที่ดีได้คุ้นสำเนียงด้วย พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็จะมีอาจารย์ชาวต่างชาติมาสอน ซึ่งแน่นอนว่าเค้าต้องบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ แล้วมันถึงจุดที่เรียกว่า Instinct (สัญชาตญาน) ที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ F มาแน่ ๆ ก็พยายามฟังแล้วจับ Key word ให้ได้ ทำให้เราสามารถฟังได้บ้างค่ะ4. Reading เป็นส่วนฝึก Grammar เป็นอย่างดี เมื่อก่อนเราไม่ชอบ Reading เลย เพราะขี้เกียจอ่าน แต่พอเรียนมหาวิทยาลัย เราก็ลงเรียนเกี่ยวกับ วรรณคดีของต่างประเทศ เราก็เริ่มต้นเรีนยปรากฏว่าเราหลงกับการเขียน แล้วเริ่มอยากรู้ว่าตอนต่อไปคืออะไร แล้วเราก็เริ่มมองภาพ Passage (เนื้อเรื่อง) ประมาณว่า ย่อหน้าที่ 1 เป็นการ Introduction ย่อหน้าที่ 2หรือย่อหน้าอื่น ๆ เป็น Story และย่อหน้าสุดท้ายเป็น Summarization (การสรุป) เราเริ่มมีความสนุกกับการอ่านมากขึ้น และเราสามารถจำ Grammar ได้โดยการอ่าน Passage เช่น หลังคำบุพบทต้องตามด้วยคำนาม เป็นต้น5. Writing เริ่มไม่ถูกจะเขียนยังไงดี เริ่มฝึกเขียนเป็นเนื้อเรื่องตอน ป.6 โดยครูจะให้ภาพทุกสัปดาห์แล้วให้เราเขียนเนื้อเรื่องให้สอดคล้องกับภาพ พอส่งให้ครู เค้าก็แก้จุดที่ผิดและอธิบายให้ฟังว่าเป็นอย่างไร พอมาตอนมหาวิทยาลัย เราได้รุ่นพี่รหัสคนนึงเก่งภาษาอังกฤษมาก มาช่วยสอนเรื่องการเขียนให้เรา ทำให้เราสามารถมองภาพออกว่า เราอยากเขียนอะไรให้วางโครงไว้ และพยายามอย่าเขียนเนื้เรื่องตามโครงที่เราวางไว้ค่ะ นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับเริ่มต้นสนใจและเรียนภาษาอังกฤษอย่างไร อีกทั้งเราก็มีศึกษาเองบ้างเช่น เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เรียนพิเศษข้างนอกและการเล่นเกมส์ เป็นต้น ซึ่งตอนนี้เราก็ยังเล่นเกมส์และแปลเนื้อเรื่องให้แฟนเราฟัง และเราก็ยังนั่งฟังและดู Vlog ของคนต่างประเทศ แต่ก็มีเพิ่มเติมมาคือ What’s in my bag? How to study with IPad? Unboxing IPad เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างมากจากความชอบของเรา เพราะเราคิดว่า ความชอบ เป็นแรงผลักดันที่ดี ที่ช่วยในการเรียนรู้ต่าง ไม่ว่าจะภาษาหรือทักษะต่าง ๆ จึงอยากให้กำลังใจให้กับผู้อ่านที่เริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ขออย่าทิ้งความชอบของตนเอง เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องไปให้สุดค่ะ ภาพ 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 มาจาก Pixabay และ Freepixภาพหน้าปกออกแบบโดย ผู้เขียน จาก Canva