อื่นๆ

"เชิญผี...เฝ้าร้าน" วิววี่จัง…ฟังเรื่องจริง® EP.6

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
"เชิญผี...เฝ้าร้าน" วิววี่จัง…ฟังเรื่องจริง® EP.6

เช้าตรู่ของวันเสาร์ เป็นวันพักผ่อนของใครหลายคน แต่ "เต้ย" หนุ่มวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาเปิดร้านรับซ่อมตู้เย็นริมถนนบางแวก เขาจัดเรียงตู้เย็นที่ซ่อมเสร็จเมื่อคืนที่วางเกะกะในร้านให้เรียบร้อยรอลูกค้ามารับ เพื่อหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวัน ๆ เมื่อจัดตู้เย็นเข้าที่เข้าทางแล้ว

ผมกำลังจะเปิดประตูร้าน "เอี๊ยดดด!...ตุ๊บ...กึก..กึก.." ตามมาด้วยเสียงคนแถวนั้นร้องโวยวาย "เฮ้ย! รถชนคน ๆ " ผมจึงรีบเปิดประตูเหล็กบานเลื่อนขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว...

แต่สิ่งที่ผมเห็น...คือ..."เศษของสมองมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเลือดสด ๆ กลิ่นคาวคละคลุ้งชวนให้อ้วก"...กระจายอยู่เต็มหน้าร้านพร้อมด้วยร่างที่ไร้ชีวิตของหนุ่มนิรนามนอนศีรษะแบนติดขอบฟุตบาท ตาถลนออกมานอกเบ้า ผมได้แต่ยืนนิ่งหายใจเข้าออกไม่เป็นจังหวะ ทำอะไรไม่ถูกถอยตัวเองเข้ามาในร้านเพื่อตั้งสติ ซักพักรถพยาบาล รถมูลนิธิฯ รถตำรวจ ประสานเสียงไซเรนเข้ามาที่หน้าร้านของผม

Advertisement

Advertisement

วันนี้เป็นวันที่เฮง...ซวยที่สุดในชีวิตช่างซ่อมตู้เย็นของเต้ย ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจออุบัติเหตุระยะเผาขนแบบนี้ ตำรวจสอบถามเต้ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เต้ยเล่าไปเท่าที่ตนเองได้ยินเสียงตำรวจได้ฟังแล้วจึงรำพึงรำพันลำดับเหตุการณ์เบา ๆ คนเดียวว่า

"รถน่าจะมาเร็วแล้วเบรคกระทันหันชนผู้ตายจากด้านหลังจนล้ม ล้อรถทับร่างตั้งแต่ช่วงล่างไล่มาถึงศีรษะล้อหน้าและล้อหลังอัดเข้ากับขอบฟุตบาทตามลำดับทำให้สมองแตกผิดรูป" เต้ยไม่ได้อยากจะได้ยิน

แต่ฟังแล้วรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก รู้สึกสงสารผู้ตาย แต่ก็สงสารตัวเองด้วยเช่นกันที่ร้านที่เค้าเก็บเงินทั้งชีวิตเพื่อมาปลูกขึ้นกลางพื้นที่ของตนเองที่แม่ให้มาทำกิน ต้องมาเป็นที่จดจำที่ไม่ใช่มาจากการซ่อมตู้เย็น

"ขอบคุณมากนะช่าง" ตำรวจหันมาขอบคุณผมสำหรับข้อมูลที่ให้ วันนั้นทั้งวันคนแวะเวียนมาร้านผมไม่ขาดสายไม่ได้มาซ่อมตู้เย็น แต่...มาถามเรื่องอุบัติเหตุ ลูกค้าบางคนที่เอาตู้เย็นมาซ่อมถึงกับขอให้ผมเอาตู้เย็นมาส่งให้ที่บ้านแทนเพราะไม่กล้ามารับที่ร้าน...

Advertisement

Advertisement

คืนที่ 1 ผมปิดร้านตั้งแต่ 4 โมงเย็น กลับไปนอนบ้านแม่แทน ผมกลับมาเล่าเหตุการณ์ให้แม่ฟัง แม่ผมบอกว่า "เราไม่ได้คิดร้ายกับเค้า ต่างคนต่างอยู่ เต้ยก็ ตักบาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เค้าบ้างเป็นครั้งคราว" ผมรับคำแม่...พยายามข่มตานอนแต่ก็อดคิดถึงภาพเหตุการณ์ไม่ได้

คืนที่ 2 วันนี้ผมปิดร้าน 1 วัน ไม่กล้าไปที่ร้าน งานที่รับลูกค้ามาก็ขนใส่รถในช่วงเที่ยงแล้วเอากลับมาทำที่บ้านแต่ก็ไม่สะดวกนัก เช่นเดียวกันคืนนี้ผมได้แต่คิดว่าจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ร้านดี แม่ผมบอกอีกครั้ง "เต้ย...ถ้าลูกไม่สบายใจแม่เคยได้ยินมาว่าให้เราผูกมิตรดีกว่าสร้างศัตรู ถ้าเค้าไม่มีที่ไปหรือยังไปไหนไม่ได้ให้ลูกเชิญเค้าให้มาพักที่ร้านจนกว่าเค้าจะไปเกิด" ผมฟังแล้วยิ่งสยอง "ให้อยู่กับผีเนี่ยะนะแม่!" ผมเข้านอนและกำลังคิดอะไรบางอย่าง...จะกำจัด , ให้อยู่ หรือต่างคนต่างอยู่ดีนะ...?

Advertisement

Advertisement

คืนที่ 3 ผมจำเป็นต้องรับงานลูกค้าประจำ แต่ลูกค้าไม่ทราบเรื่องเหตุการณ์วันนั้น ผมจึงเปิดร้านรับลูกค้าประจำเพราะกลัวจะเสียลูกค้า และทำงานเพื่อให้ทันตามกำหนดเวลา ในใจผมคิดว่า

"เอาวะ!!!...เงินมาก่อน ป่านนี้คงไปที่ชอบ ๆ แล้วหละ ไม่ได้รู้จักกันซะหน่อย หน้าตาก็ไม่เคยเห็น คงไม่มีอะไรมั้ง เลยมาหลายวันแล้ว" ผมเร่งทำงานจนลืมดูเวลา

เสียงนาฬิกาในร้านบอกเวลา 4 ทุ่ม ผมลุกไปปิดประตูหน้าร้านลงกลอน และกลับมาทำงานต่อ ผ่านไป 3 ชม. งานใกล้เสร็จ

"ตุ๊บ...กึก..กึก.." ผมได้ยินเสียงจำได้ขึ้นใจ ผมวางเครื่องมือ...ลุกไปจุดธูปไหว้พระ ไม่ได้ทักอะไรกับเสียงที่เกิดขึ้น อาบน้ำ กะว่าพรุ่งนี้ค่อยทำต่อจะได้ส่งงานทัน ตอนนี้ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมลมตัวลงนอน หางตาสะดุดกับอะไรบางอย่างที่ใต้ประตูเหล็ก ผมมองลอดใต้ตู้เก็บของออกไปที่หน้าร้าน แสงไฟด้านนอกส่องเห็นเงาคนยืนอยู่ที่หน้าร้าน

เสียงดังอีกครั้ง "ตุ๊บ...กึก..กึก.." เงาเท้าหายไป...แต่เป็นเสียงลากของหนัก ๆ ไปตามพื้นตั้งแต่หน้าร้านอ้อมมาข้างร้าน อ้อมมาหลังร้าน แล้วมาหยุดตรงข้างนอกตรงที่ผมนอน มีบางอย่างขูดผนังตรงหัวผม "แกร๊ก ๆ ๆ ๆ" เหมือนกำลังเอาเล็บขูด ผมเหงื่อแตกพลั่ก...คลุมโปงไม่ส่งเสียงใด ๆ ได้แต่สวดมนต์ในใจ และเสียงหลอนนั้นดังซ้ำแบบเดิม ๆ ตลอดทั้งคืนจนผมหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้....

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมออกจากร้านเดินไปหาข้าวกิน สิ่งที่ได้ยินคือคนแถวนี้พูดเหมือนกัน "โดนผีหลอกกันถ้วนหน้า" ตั้งแต่มอไซด์วินยันรถสองแถวภายในคืนเดียว ผมจึงตัดสินใจ "ไม่ได้การละ" จึงไปวัดแถวบ้านไปหาหลวงพ่อที่รู้จักซึ่งบวชจำพรรษามาหลายปี พอไปถึงผมได้เล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้น...หลวงพ่อท่านให้คติธรรมกับผม และผมได้อะไรบางอย่างจากคติธรรมนั้น จากนั้นผมกล่าวลาหลวงพ่อและกลับมาที่ร้าน

อย่างแรกที่ผมทำคือ..."จัดกระทงอาหารเล็ก ๆ" วางที่มุมหน้าร้านทั้งซ้ายและขวาตามอนาเขตของร้าน และอีกกระทงเอาไปวางไว้อีกฝากของถนนตรงข้ามร้านใต้ต้นไม้ จากนั้นกลับมาจุดธูปอธิษฐานจิต "ท่านผู้ที่เสียชีวิตที่หน้าร้านข้าพเจ้า ถ้าท่านยังไม่มีที่ไปที่ท่านต้องการ ขอให้ท่านขึ้นจากพื้นถนนแล้วมาอาศัยอยู่ที่หน้าร้านนี้เถิด อย่างนอนอยู่ที่ถนนเลย ให้ท่านช่วยกันทำมาหากินเพิ่มบุญกุศลเพื่อให้ท่านได้มีกุศลพอที่จะทำให้ท่านได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้ แต่หากท่านบำเพ็ญกุศลเพียงพอที่จะเปลี่ยนภพภูมิที่ดีกว่านี้แล้ว ขอให้ท่านไปสู่สุขคติด้วยเถิด" หลังจากพูดจบลมเย็นปะทะที่หน้าผม...ผมรู้สึกได้ถึงความปลื้มปิติในจิตใจ...

หลังจากวันนั้น ผมเปิดร้านตามปกติ จัดกระทงอาหารแบบเดิมทุกวัน บางวันใช้ใบตองบ้าง บางวันใช้กล่องโฟมบ้าง จานกระดาษบ้างสลับ ๆ กันไป แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ..."ผมไม่เคยเจอเรื่องแปลกอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านของผมมีมากขึ้น กิจการผมดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้น จนเก็บเงินสร้างศาลเจ้าที่ขึ้นที่ข้างร้านและให้วิญญาณที่ผมเชิญได้อยู่ดีขึ้น"...และจากคำบอกเล่าจากคนรู้จักผม...มักจะมีคนเห็นว่ามีคนอยู่ในร้านตอนที่ผมไม่อยู่เสมอ ๆ ตอนเดินไปซื้อกับข้าว , ไป 7-11 ทำให้ผมรู้ว่าท่านผู้นั้นยังอยู่ในร้านคอยดูแลร้าน ระวังภัยให้กับผมเสมอ...

คติธรรมที่หลวงพ่อท่านบอกผมคือ... "ทานที่แปลว่า การให้, การแบ่งปัน, การเสียสละ, การเอื้อเฟื้อ หมายถึงการให้ทานด้วยจิตใจที่ดีงาม มุ่งเพื่อบูชาพระคุณ มุ่งเพื่อสงเคราะห์

เช่น ที่ให้แก่คนตกทุกข์ได้ยากบ้าง ให้แก่คนทั่วไปด้วยความกรุณาสงสารบ้าง หรือให้แก่ผีวิญญาณที่ติดบ่วงกรรมบ้าง...

ขอบคุณรูปภาพหน้าปกจาก

https://almomento.mx/incrementan-trastornos-mentales-en-mexico/

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์