อื่นๆ

ฮาโลวีน!!! วันที่มิติคนตายและคนจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน...Halloween กุ๊ก กุ๊ก กู๋~ แฮร่

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
 ฮาโลวีน!!! วันที่มิติคนตายและคนจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน...Halloween กุ๊ก กุ๊ก กู๋~ แฮร่

1

ฮาโลวีนของทุกปี ซึ่งจะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเซลท์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป ทั้งนี้ ในวันฮาโลวีน ชาวเซลท์ Celt ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองไอร์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน

2 การฉลองวันฮาโลวีนนิยมเพื่อความสนุกสนาน เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง เรียกว่า การเล่น Trick or Treat หลอกหรือเลี้ยง  สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวัน "All Souls" พวกเขาจะเดินร้องขอ "ขนมสำหรับวิญญาณ" (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น

Advertisement

Advertisement

3

ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซี เป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี (เด็ก) เหล่านั้น ราวกับว่า ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด
ในสมัยโบราณมีการกล่าวขานกันว่าเด็กๆ ไม่ได้ขนม จะแกล้งเจ้าของบ้าน เช่น ใส่ไข่ดิบในตู้จดหมายในคืนเทศกาลฮาโลวีน คนส่วนใหญ่จึงมีขนมและลูกกวาดเตรียมไว้เพื่อจะไม่ต้องโดนผี (เด็กๆ) แกล้ง และที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลฮาโลวีนเลย คือ การประดับประดาแสงไฟ และการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เจาะทำตาจมูก และปากที่แสยะยิ้ม เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)

Advertisement

Advertisement

เคล็ดอีกอย่างหนึ่งของเทศกาลฮาโลวีน นอกจากเคาะประตูขอขนมตามบ้านต่างๆ แล้ว ยังมีการนำ แอปเปิล กับเหรียญชนิดหกเพ็นซ์ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ ออกจากกันได้ด้วยการใช้ปากคาบเหรียญขึ้นมา และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิลให้ติดเพียงครั้งเดียวถือว่าผู้นั้นจะโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังมาถึง

4

ตำนานฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช กล่าวถึง แจ๊กจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ “ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก” แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ๊กตาย เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะลงนรก เพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจไว้ ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดมิด และหนาวเย็น และแจ๊กนำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอร์นิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น

Advertisement

Advertisement

ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอร์นิพ และใส่ไฟไว้ด้านใน เป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง “การหยุดยั้งความชั่ว” Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันพบว่าฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน

5

เจ้าฟักทอง นั้นมีชื่อว่า Jack O Lantern เป็นตำนานของชาวไอริช ที่เป็นนักมายากลขี้เมาและได้ทำข้อตกลงกับปีศาจตนหนึ่งว่า “หากตนเสียชีวิตแล้ว ขอเพียงไม่ไปทั้งนรกหรือสวรรค์” เมื่อถึงคราวปีศาจชีพจรดับ ปีศาจตนนั้นจึงมอบถ่านที่คุกรุ่นให้กับแจ็ค เขาจึงนำไปใส่ไว้ในหัวผักกาด เพื่อคอยปัดเป่าความหนาวเย็น ต่อมาชาวไอริชจึงแกะหัวผักกาดและนำถ่านมาใส่ไว้เช่นกัน เพื่อเป็นสิริมงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตลอดทั้งปี เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเพณีดังกล่าว เริ่มแพร่หลายไปสู่ประเทศอเมริกา แต่หัวผัดกาดเป็นสิ่งที่หายาก จึงนำลูกฟักทองมาแกะสลักแทน และนี่คือ จุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์สีส้ม และสีดำ ทั้งนี้ สีดำบ่งบอกถึงความมืดมิดของช่วงเวลากลางคืน ส่วนสีส้ม คือ แสงสว่างที่ลุกโชติเพื่อขับไล่ผีร้ายนั้นเองปัจจุบัน ประเพณีวัน Halloween จะเน้นที่การแต่งกายปลอมตัวเป็นผี เพื่อการพบปะ สังสรรค์ เฮฮา สนุกสนานมากกว่าจะเป็นการระลึกถึงผู้ตาย ดั่งเช่นแต่เก่าก่อน

อย่างไรก็ตาม คนไทยปัจจุบันรู้จักเทศกาลฮาโลวีนเหมือนกับที่รู้จักเทศกาลต่างๆ ตามประเพณีของชาวยุโรป เช่น อีสเตอร์ วันขอบคุณพระเจ้า วันคริตสต์มาส หรือวันวาเลนไทน์ ซึ่งในคืนวันฮาโลวีนในกรุงเทพฯ มักจะจัดงาน โดยเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวยามราตรีแต่งกายด้วยชุดแฟนซี สวมหน้ากากเป็นปีศาจรูปร่างต่างๆ เพื่อเป็นสีสันยามค่ำคืนฮาโลวีน และกิจกรรมรื่นเริงแบบนี้ได้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก รวมถึงคนไทยในปัจจุบันมีการจัดเฉลิมฉลองวันฮาโลวีน  โดยส่วนใหญ่มักจัดงานเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวยามราตรีแต่งกายด้วยชุดแฟนซี สวมหน้ากากเป็นปีศาจรูปร่างต่าง ๆ เพื่อเป็นสีสันยามค่ำคืน

ขอบคุณภาพ

Cover ภาพที่1ภาพที่ 2ภาพที่ 3ภาพที่ 4ภาพที่ 5

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์