ย้อนไปในปี 2558 ที่ผ่านมา หนังไทยเรื่อง “อาบัติ” ได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กระทั่งเคยถูกคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของกระทรวงวัฒนธรรมสั่งให้ระงับการฉายจนกว่าจะมีการปรับแก้เนื้่อหาให้มีความเหมาะสม ทันทีที่ทราบข่าวว่าหนังถูกระงับการฉายเหมือนรู้สึกว่าได้ย้อนไปอยู่ในยุคครีเทเชียสอีกครั้ง เพราะหากมองอย่างเป็นกลางและด้วยหลักเหตุผลแล้วหนังไม่ได้มีเจตนาทำลายศาสนา ตรงกันข้ามกลับส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเสียด้วยซ้ำ หนังไม่ได้เพียงต้องการสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่ยังแสดงความรับผิดชอบด้วยการนำเสนอแก่นแท้ของศาสนา การแสดงถึงความไม่เหมาะไม่ควรผ่านวิธีการที่ร่วมสมัย ตรงไปตรงมาและง่ายต่อการทำความเข้าใจหากถามว่า “เราได้อะไรจากหนังประเภทสะท้อนสังคม” นอกจากการยัดเยียดและกระหน่ำซ้ำเติมสังคมด้วยสิ่งที่ไม่ดีงาม แต่หากมองในอีกมุมของการสะท้อนนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการยอมรับความจริงซึ่งมันจะนำไปสู่การสร้างความตระหนักร่วมกันมากกว่าการตอกย้ำถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริงในสังคม การไม่ให้ฉายหรือให้ตัดต่อกการเกิดขึ้นของหนังเรื่องนี้เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง และน่าเสียดายแทนสังคมไทย เพราะความวิปริตไม่ได้มีปรากฏเฉพาะในแวดวงศาสนา หากแต่มีปรากฏในทุกพื้นที่ของสังคม การไม่ยอมรับความจริงและมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม หรือน่าเขินอายหากนำมาพูดในที่สาธารณะนี้จะนำไปสู่การเป็นสังคมแห่งการหลอกลวงตนเอง และวิวัฒนาการกลายเป็นเนื้อร้ายสร้างความวิบัติในท้ายที่สุดภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/fantasy-spirit-nightmare-dream-2847724/ ผลพวงจากการดูหนังเรื่องนี้ทำให้นึกขึ้นได้ถึงเทศนาธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุที่ว่า “ตัวเองหลอกตัวเอง เสียหายกว่าผู้อื่นหลอกตั้งร้อยเท่าพันเท่า แต่ก็ไม่มีใครระวัง” สังคมที่หลอกตัวเองหรือสังคมที่เสแสร้ง เป็นสังคมที่มักจะเต็มไปด้วยปัญหาในทุกมิติ เพราะการไม่ยอมรับความจริงก็เท่ากับปัญหายังมีอยู่เดิมไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใดเพราะมองไม่เห็นต้นตอหรือรากลึกของปัญหานั้นๆ การไม่ยอมรับหรือหยิบยกข้อเท็จจริงมาพูดคุยด้วยเหตุผลที่ตรงไปตรงมานี้ ท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ปัญหาเกิดการกลายพันธุ์และขยายลุกลามไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นมหากาพย์เรื่องยาวที่มองไม่เห็นจุดจบเพราะต้นตอของปัญหาเดิมไม่ได้รับการแก้ไขการหลอกตัวเองของสังคมหากมองโดยจิตใจอันสงบเยือกเย็นแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่สลับซับซ้อนหรือน่าตื่นตระหนกแต่อย่างใด หากเริ่มที่ตัวเราไม่หลอกตัวเราเองก่อน เช่น หลอกตัวเองว่า เป็นคนดี เป็นคนขยันทำงานเก่ง เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่ยึดติดกับสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง หรือเงินทอง ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแล้วประพฤติปฏิบัติตนตรงกับข้ามกับที่พูดมาทั้งสิ้น เป็นต้น หากโดยพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นแบบนี้แน่นอนว่าการแสดงออกในเรื่องราวต่างๆ จึงเบี่ยงเบนและบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริงไปโดยปริยายและส่งผลในระดับสังคมในที่สุดเช่น การที่บางสังคมบอกกับตัวเองว่าเป็นสังคมแห่งความดีงาม เต็มไปด้วยธรรมนองครองธรรมมีน้ำใจโอบอ้อมอารี แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงไม่ว่าอาจจะเกิดขึ้นด้วยการกระทำของกลุ่มคนส่วนน้อยหรืออย่างไรก็ตาม ก็ถือเป็นการหลอกตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำ ความร้ายแรงอย่างที่สุดก็คือการที่กลับวางเฉยและมองไม่เห็นสิ่งที่เป็นประเด็นปัญหา ซึ่งหากจะกล่าวอ้างเพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศของสังคม ก็ถือเป็นการรักษาบรรยากาศที่เลวร้ายเสียมากกว่า การหลอกตัวเองทั้งในระดับบุคคล และสังคมจึงถือเสมือนเป็นปิศาจร้ายที่จ้องทำลายล้างทุกย่างก้าว ดังนั้นอาวุธที่จะมาทำลายล้างปิศาจร้ายนี้เห็นจะไม่มีเครื่องมือใดจะรุนแรงเท่ากับการยอมรับความจริง และหาแนวทางในการแก้ไขปรับปรุง ซึ่งต้องเริ่มที่ตัวเรา เชื่อมโยงไปสู่ในระดับสังคมต่อไปภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/monk-munk-thailand-buddhism-orange-184390/ หลายคนอาจจะมองปัญหาเหล่านี้ว่า ไม่ได้เป็นการหลอกตัวเอง แต่เป็นการไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ซึ่งก็ไม่ผิดเสียทีเดียวเพราะไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือการไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะจริงๆ แล้วเรื่องราวทำนองนี้ก็ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้น หรือเพิ่งจะมารู้สึกกัน ทว่าคนส่วนใหญ่ของสังคมก็รับรู้ถึงปัญหานี้มาช้านาน เพียงแต่ว่าสังคมของเรามันใหญ่ขึ้นตามก้าวย่างของเวลาและใหญ่เกินกว่าที่คนไม่กี่คนจะก้าวข้ามพ้นไปได้ หรือลุกขึ้นมาปฏิวัติได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่หากการไม่ยอมรับความจริง เผชิญความจริงด้วยการหลอกตัวเองแล้ว ก็ถือเป็นความล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแล้ว ประเด็นจึงไม่ใช่ว่าไม่รู้หรือไม่รู้ ทำได้หรือทำไม่ได้ เพราะแน่นอนว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงเพราะกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่อาจคาดเดาได้ แต่การเฝ้ารอคนส่วนใหญ่มาชี้นำและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันก็เป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้วสำหรับในยุคสมัยนี้ ดังนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ว่าเราหลอกตัวเองอยู่หรือไม่ ยังมีความจริงใดที่เรายังไม่รู้ หรือมองไม่เห็นหรือไม่ หากมีก็ให้ยอมรับและจัดการกับมันเสียในขณะเดียวกันหลายคนก็จะมองว่าสิ่งที่ผมกำลังพร่ำพรรณนาอยู่นี้เป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือไม่ ซึ่งในที่นี้อยากจะให้มุ่งเน้นในเรื่องของความเป็นจริงหรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ที่ไม่มีการปรุงแต่งหรือผสมผสานความรู้สึกที่เรียกว่าแง่ร้ายหรือแง่ดี เพราะมีแต่ความเป็นจริงที่เป็น “สัจจะ” ซึ่งความเป็นจริงนี้เราจะต้องยอมรับให้ได้โดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกทั้งปวงภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/tea-lights-candles-candlelight-3612508/การตั้งกรอบกฎกติกาในโลกสาธารณะไม่ว่าจะเป็นการแสดง หรือการภาพยนตร์ ในบ้างครั้งมักจะเชื้อเชิญคำว่า “ความเหมาะสม” เข้ามาเป็นเครื่องมือ การสั่งห้าม หรืองดเผยแพร่ หรือแม้แต่การเบลอภาพ (censer) ที่ไม่เหมาะสม ล้วนเป็นการบิดเบือน “ความจริง” ที่ว่าสังคมเรามิได้เป็นเช่นนั้น สังคมไม่ได้รุนแรง หรือย่ำแย่ เช่น บุคคลในอาชีพนั้นๆ ไม่ได้ประพฤติชั่ว หรือประพฤติตัวบกพร่อง ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมสับสนไขว้เขวต่อความเป็นจริง เพราะเป็นเรื่องเฉพาะรายเท่านั้นไม่ได้หมายถึงว่าบุคคลในอาชีพนั้น ๆ จะประพฤติเหมือนกันหมดหรือทว่าหากหนังเรื่องนั้นได้นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่กลับได้รับการกล่าวหาว่าเป็นการบิดเบือนความจริง หากเป็นเช่นนี้แล้วคำถามที่น่าขบคิดคือ แล้วความจริงคืออะไรกัน สังคมที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วเรากำลังพูดถึงความจริงอะไรกันแน่ เพราะแท้ที่จริงแล้วสื่อหรือหนังได้บอกเล่า หรือนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อตอกย้ำความจริงที่เป็น “สัจจะ” เช่น ธรรมะต้องชนะอธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความจริงที่สื่อหรือหนังได้นำเสนอ เพราะไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอความเลวร้ายไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมใดก็เพราะได้สะท้อนปรากฏการณ์ความผิดเพี้ยนนอกรีตนอกรอยที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาจเป็นเฉพาะกลุ่มคน หรือรายบุคคลหรือเป็นเฉพาะกรณี ซึ่งหากตัวตนที่แท้จริงของสังคมเรายังปกติดีอยู่ รวมไปถึงตัวตนแท้จริงของเราก็ยังมีความเชื่อที่ดีงามอยู่บนหลักเหตุผลอยู่แล้วก็จะแทบจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใดเลยหากเราอยู่บนหลักพื้นฐานของการยอมรับความจริงและไม่หลอกตัวเองภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/buddhism-worship-monk-ancient-1782432/ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ได้รับการปรับแก้เนื้อหารวมไปถึงชื่อเรื่องจาก "อาบัติ" เป็น "อาปัติ" ซึ่งจากการที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่จนจบ ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนชื่อหรือถูกตัดทอนเนื้อหาเพื่อให้ถูกต้องตามกติกาของสังคมที่ยังอยู่ในภาวะสับสนระหว่างความจริง ความเหมาะสม และการหลอกตัวเองไปเพียงใดก็ตาม แน่นอนว่าหลักคำสอนหรือสิ่งดีงามไม่จำเป็นต้องคอยให้สื่อหรือหนัง หรือใครต่อใครมาพร่ำสอน หากแต่มองเป็นเรื่องกรณีตัวอย่างและร่วมกันเฝ้าระวังในการรักษาสิ่งดีงามและขจัดความชั่วร้ายอันอัปลักษณ์ ดังคำโบราณที่มักจะบอกต่อๆ กันมาว่า “ดูหนังดูละครแล้วให้ย้อนดูตัวเอง” ไม่ใช่เรื่องที่น่าเขินอายเลยหากมันจะผุดขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ บทความ Tom Hongkhamภาพหน้าปก https://pixabay.com/photos/monk-walking-rose-petals-buddhism-458491/