การออกกำลังกายแบบมีเป้าหมายและได้คุณภาพ ในสถานการณ์โควิด-19 นั้นมีผลกระทบต่อสุขภาพทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ไหนจะเรื่องการทำงานและบางบริษัทมีนโนบาย “Work From Home” คือ บางคนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน สำหรับบางคนที่ยังต้องทำงานที่บริษัทอยู่ก็ต้องมีความกังวลกับสภาวะแวดล้อมรอบตัวในขณะการเดินทาง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อสามารถสร้างภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการออกกำลังกายนั้นเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีและมีผลโดยตรงต่อสุขภาพจิตใจให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน การออกกำลังกายทุกคนรู้ว่ามันมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา แต่มันไม่ง่ายสำหรับทุกคน เนื่องจากมันต้องต่อสู้กับความสบายที่เราเคยชินกับการใช้ชีวิตประจำวัน หรือ เรียกง่ายๆ คือ “ความขี้เกียจ ” โดยธรรมชาติของมนุษย์จะเลือกความกิจกรรมที่สร้างความสบายก่อนเป็นอันดับต้นๆ เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายสำหรับบางคนต้องต่อสู้กับสภาวะจิตใจของตัวเอง เพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยชิน นอกจากสภาพจิตใจที่ไม่พร้อมเหมือนจะเป็นปัญหาสำคัญที่คอยหาข้ออ้างให้ตัวเองตลอดเวลาเพื่อที่จะไม่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันลำบากหรือไม่เคยชิน ดังนั้นเราสามารถช่วยทำสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้สมองและพฤติกรรมของเราที่มีต่อการออกกำลังให้ดูง่ายยิ่งขึ้น ลองใช้วิธีการดังต่อไปนี้ 1. ลองหาแนวร่วมในการออกกำลังกาย อันนี้หากมีเพื่อนที่เราสามารถชวนกันไปออกกำลังกายได้และทำให้เราได้สนุกไปกับเพื่อนด้วย ข้อนี้เป็นแรงจูงใจที่ดีและง่าย หากว่าเราไม่มีเพื่อนที่ไปออกกำลังกายด้วยล่ะ ก็อาจใช้แรงจูงใจมากหน่อย สิ่งสำคัญที่สุดเวลาออกกำลังกาย คือ “ความสม่ำเสมอนั้นสำคัญกว่าปริมาณ” อยากให้ตั้งเป้าหมายแบบเล็กน้อยพอ แต่ขอให้มีเป้าหมาย เช่น 1 สัปดาห์ เราจะออกกำลังกายอย่างน้อยกี่วัน ( 1 วันก็ได้ เพราะถือว่าเป็นการออกกำลังกายแบบมีเป้าหมาย) แล้วใน 1 วันนั้นเราจะออกกำลังกายแบบไหน อาจจะวิ่ง 200 เมตร บางคนคิดว่า วิ่งแค่นี้ อย่าวิ่งดีกว่า อันนี้ไม่เกี่ยวที่ปริมาณ สิ่งสำคัญ คือ ทัศนคติ ที่มีต่อการออกกำลังกาย เราเริ่มจากเป้าหมายแบบเล็กน้อยก่อน ไม่ต้องรีบ สร้างกำลังใจให้ตัวเอง แล้วค่อยๆเพิ่มตามกำลังที่ตัวเองไหว กฎเหล็ก คือ ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อยากให้ตั้งใจทำตามเป้าหมายของเราก็พอ ถ้าจะให้ดีให้เห็นภาพเราก็บันทึกไว้ก็ได้ในแต่ละวันว่าเราวิ่งได้เท่าไหร่ จะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองแบบเป็นรูปธรรมมากขึ้นเครดิตรูปภาพ: unsplash 2. การออกกำลังกายนั้น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีต่อตัวเรา เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงการกดดันตัวเอง หรือ ตั้งความคาดหวังไว้แบบสูงเกิน (แบบหักดิบ) เช่น หุ่นดีภายใน 1สัปดาห์ ซึ่งความเป็นไปได้นั้นมี แต่มันสร้างความกดดันให้ตัวเองมากจนเกินไป จนทำให้หลายคนล้มเลิกก่อนที่จะเริ่ม หรือ เลิกระหว่างทาง ยิ่งไปกว่านั้นบางคนหักโหมทำได้จริง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ออกกำลังกายอีกเลย อันนี้ถือว่าสร้างความบอบช้ำให้ร่างกายมากกว่าการทำให้สุขภาพดี เพราะฉะนั้นการออกกำลังกาย ให้เลือกแบบที่เราสบายใจ กิจกรรมอะไรก็ได้ หรือ แม้กระทั่งเดินเล่น สูดอากาศ ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายได้เช่นกัน แต่ให้เรากำหนดเป้าหมายด้วย ว่าวันนี้จะเดินที่ไหนบ้างเครดิตรูปภาพ: unsplash 3. สำหรับการออกกำลังกาย ถ้าสามารถเลือกช่วงเวลาได้ ให้เลือกช่วงเช้า ถือว่าดี เนื่องจากว่าขณะที่เราออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะปล่อย “สารโดปามีน” (Dopamine) ซึ่งทำให้เราตื่นตัวกับสิ่งรอบตัว กระฉับกระเฉง และมีสมาธิมากขึ้น เท่ากับว่าการเริ่มต้นของวันด้วยการออกกำลังกายทำให้สมองและร่างกายของเราพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การติดต่อผู้คน หรือการใช้ความคิดในการแก้ปัญหาต่างๆ เราจะทำได้อย่างมีสมาธิและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเครดิตรูปภาพ: unsplash หวังว่าแนวคิดนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนในการไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของตัวเอง ผลลัพธ์จะเกิดได้ต่อเมื่อ เราได้ลองปฏิบัติเท่านั้น เพราะถ้าเรามีความตั้งใจและตั้งเป้าหมายไว้ แต่ไม่ได้ลงมือทำ ประโยชน์ก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง อย่าลืมว่า การออกกำลังกายนั้นจะมีคุณภาพ นั้นเริ่มมาจาก “ทัศนคติ” ของเราที่มีต่อการออกกำลังกาย “เป้าหมายใหญ่ได้ แต่อยากให้เริ่มแบบเล็ก” ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เครดิตรูปภาพ: unsplash หน้าปก unsplash