“หนี้สินก็อยากจ่าย ส่วนลดก็อยากได้(เยอะ ๆ) ทำไงดี?” เพื่อนเราถามมาแบบนี้จริง ๆ เนื่องจากว่าได้ศึกษาเรื่องการทำ Hair cut หรือการเจรจาขอส่วนลดกับเจ้าหนี้มาพอสมควร เลยอยากจ่ายหนี้แบบได้ลดยอด เหมือนกับคนอื่นเค้าบ้าง เพราะเก็บเงินก้อนไว้บ้างแล้วเครดิตภาพ : Goumbik from pixabay แต่ขอเท้าความนิดหนึ่ง ก่อนหน้านี้ (นานมาแล้ว) เราแนะนำเพื่อนให้หยุดจ่ายขั้นต่ำ เพราะเห็นว่าหมุนเงินหนักมาก ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรเลย ก็โดนต่อว่ามาซะแล้ว ในข้อหาอยากให้เพื่อนเสียเครดิต ซึ่งก็เสียเครดิตจริง ๆ นั่นแหละ เพราะประวัติจะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร 3 ปี จนเคลียร์หนี้สินหมดจด ทางบริษัทจึงจะแจ้งล้างให้อีกที แต่ที่แอบงอนเพื่อน คือคำว่า “อยาก” เอาจริง ๆ ใครจะไปอยากให้ใครเสียเครดิตล่ะ ก็เป็นเพราะคุณจ่ายไม่ไหวจริง ๆ เลยจะช่วยหาทางออกให้เท่านั้นเอง!!! … ปัจจุบันหายงอนละ… ไปเข้าเรื่อง “การขอส่วนลดหนี้” กันดีกว่าเครดิตภาพ : Myriams-Fotos from pixabay ทำไมจึงตัดสินใจหยุดจ่ายขั้นต่ำ :จากที่ใช้จนเต็มวงเงินไป 3 บัตร ก็ไปหมุนใบที่ 4-5-6 มาจ่ายเวียนไปเรื่อย ๆ แถมไปยืมพี่น้องมาอีก ซึ่งเห็นว่าไม่ไหวแล้ว เอาจริง ๆ ก็จ่าย ๆ หยุด ๆ ไป 3 เดือน ก็ไม่ได้ดีขึ้น เพราะมันก็แค่ยื้อเวลาเท่านั้นเอง และปัญหาก็ไม่ได้จบไปอยู่ดี จึงตัดสินใจที่จะหยุดจ่ายทั้งหมด แล้วเริ่มตั้งหลักเก็บเงินก้อน รวมถึงเตรียมใจรับโทรศัพท์จากการถูกทวงหนี้เครดิตภาพ : Free-Photos from pixabay รับมือการถูกทวงหนี้อย่างไร :ก็เป็นไปตามที่คาดหมาย พนักงานทวงหนี้ทางโทรศัพท์ โทรมาแบบถี่ยิบ เบอร์โทรไม่ซ้ำ ทำน้ำเสียงไม่ค่อยน่าฟัง ดีอย่างเดียวคือไม่หยาบคาย เพื่อนเราบอกว่ารับโทรศัพท์บ้าง ไม่รับบ้าง และทุกครั้งก็จะบอกทิ้งท้ายไว้เกือบทุกครั้งว่า อยากจ่ายหนี้เหมือนกัน แต่เงินยังไม่พอ และเก็บเงินอยู่ มีข้อเสนออะไรก็แจ้งมาได้ แต่ไม่เคยรับปากว่าจะจ่าย เพราะรู้ว่าพนักงานทวงหนี้จะจดบันทึกไว้ทุกครั้ง หากจ่ายตามที่พูดไม่ได้ ย่อมไม่เป็นผลดีในการเจรจาขอส่วนลด จำได้ว่าช่วงที่คุยกัน หยุดจ่ายชำระมาได้ราว ๆ 8 เดือนแล้วด้วยเครดิตภาพ : PhotoMIX-Company from pixabay เจ้าหนี้เคยติดต่อขอให้ส่วนลดหรือไม่ :จากที่พูดเปรย ๆ ไป ประมาณว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” เพราะเงินไม่พอ ก็เหมือนว่าจะเข้าหูพนักงานทวงหนี้อยู่บ้าง ประมาณเดือนที่ 6-7 มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาให้ส่วนลดที่ 40% จะว่าไปแล้วก็เป็นตัวเลขที่มากอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เงินยังไม่พอ ก็เลยบอกไปว่า ยังขาดอีกนิดหน่อย ให้ช่วยพิจารณาอีกครั้งจากการวิเคราะห์ของเรา เข้าใจว่าที่ได้ส่วนลดเยอะ อาจเป็นไปได้ว่า 1.ใช้บัตรมานานมากกว่า 5 ปี 2.ตอนนี้ไม่ได้ทำงานประจำ อย่างไรก็ตาม ถึงจะได้ส่วนลดมาเยอะแล้ว เพื่อนเราก็ใจแข็งไม่ยอมจ่ายอยู่ดีเครดิตภาพ : CQF-avocat from pixabay มาถึงตรงนี้เราจึงแนะนำเพื่อนไปว่า ส่วนลด 40% ที่ได้มา ถือว่าโชคดีมาก และก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด ว่าเจ้าหนี้ใช้เกณฑ์อะไร เพราะแต่ละคนก็จะได้รับส่วนลดไม่เหมือนกัน แถมบางคนโดนขู่ฟ้องศาลอีกต่างหาก ดังนั้นหากครั้งหน้าเจ้าหนี้ติดต่อมาอีก ก็ขอลดเพิ่มเข้าไปอีก ย้ำว่า!! อย่าใส่อารมณ์ ให้คุยดี ๆ หากมีการข่มขู่ว่าจะฟ้องศาล ก็ให้บอกไปว่าเราไม่มีงานทำ ถึงฟ้องก็ไม่มีเงินจ่าย และไม่มีทรัพย์สินให้ยึดเครดิตภาพ : stevepb from pixabay ในเรื่องทรัพย์สิน เอาจริง ๆ เพื่อนเราก็พอมีอยู่บ้าง ทั้งเงินฝากธนาคาร (อันน้อยนิด) รถยนต์ส่วนตัวเอาไว้ทำงาน(ผ่อนหมดแล้ว) กรณีนี้จึงแนะนำว่า หากเจ้าหนี้ติดต่อมาอีกเรื่องส่วนลด และพอปิดยอดได้ ก็ให้รีบปิดจะดีที่สุด แต่หากยังปิดยอดไม่ได้ แล้วเจ้าหนี้ฟ้องศาล ก็ต้องทำให้ตัวเองไม่มีทรัพย์สินใด ๆ เอาไว้ก่อน ย้ำว่า!! ต้องโอนย้ายก่อนมีหมายศาลด้วย อะไรก็ตามที่เป็นชื่อตัวเอง ก็โอนย้ายออกไปในชื่อคนที่ไว้ใจซะ และต้องอยู่ในภาวะไม่มีทรัพย์สินใด ๆ เป็นเวลา 10 ปี เพื่อที่เจ้าหนี้จะได้ตามสืบทรัพย์ไม่ได้ จะเอาแบบไหนก็เลือกเอาเองละกันเครดิตภาพ : kiquebg from pixabay เราทิ้งท้ายกับเพื่อนไปว่า อาจจะมีโอกาสได้ส่วนลดจากยอดหนี้มากกว่า 50% เพราะดูทรงแล้วเจ้าหนี้ยังไม่เคย (ขู่) ว่าจะฟ้องศาล ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการคุยกันค่อนข้างดี อีกอย่างการส่งเรื่องฟ้อง ทางเจ้าหนี้เองก็มีค่าใช้จ่ายพอสมควรเหมือนกัน ถ้าดูทรงแล้วว่าจะได้เงินคืนแน่ ๆ ย่อมเลือกเงินก้อนเอาไว้ก่อนแน่นอน ดังนั้นรอตัวเลขงาม ๆ ได้เลย และถ้าพอใจแล้ว ก็อย่าไปดึงให้ยืดเยื้อมาก เพราะมีอีกหลายบัตรที่ต้องเคลียร์!! ... เข้าใจตรงกันนะ...เครดิตภาพปก : stevepb from pixabay