ความรักเป็นเพียงชื่อสำหรับความปราถนาและการตามหาความสมบูรณ์แบบคำโปรยเริ่มต้นของ หนังดีที่ห้ามพลาด The Half of it รักไม่มีนิยาม จาก Netflix ภาพยนต์ที่ไม่ควรดูแค่ตัวอย่าง หลายคนที่ได้อ่านรีวิว หรือ ชมภาพยนต์ตัวอย่าง คงคิดว่าเรื่องนี้ เป็นหนังแนวความรักใส ๆ วัยรุ่นผสมการนำเสนอเรื่องราวของ LGBT เพราะมีฉากตัวอย่างสื่อมาทางนี้ แต่คุณคิดผิด !! ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเนื้อหาของความสัมพันธ์ของคนสามคน การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การมีจุดมุ่งหมายในสิ่งที่ต้องการจะทำ ผ่านมุมมองความรักที่ไม่มีเพศ เป็นความรู้สึกของ คนสามคน ที่มีปมมีความต้องการในใจ เหมือนการตามหาครึ่งหนึ่งของตัวเอง แต่ครึ่งหนึ่งนั้นกลับถูกแบ่งไปอยู่ในคนอีกสองคน ความสับสน การค้นหา การสร้างตัวตน การยอมรับ การมีความลับ สุดท้ายบทสรุปของเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร แนะนำให้หาคำตอบได้จาก หนังดีที่ห้ามพลาด The Half of it เค้าโครงเรื่องของ The Half of it รักไม่มีนิยาม จาก Netflixเรื่องราวจะเล่าถึงชีวิตวัยรุ่นสามคนในเมือง สควอเฮมิช ที่มีความต้องการในชีวิตแตกต่างกัน เอลี่ ชู สาวชาวจีน ที่ย้ายมาที่นี่ตอน 5 ขวบเพราะพ่อทำงานสถานีรถไฟ พอล มันส์สกี้ เด็กหนุ่มที่เกิดและโตที่นี่ นิสัยซื่อบื้อกับความมุ่งมั่นสานต่อกิจการไส้กรอกของครอบครัว แอสเธอร์ ฟลอร์ สาวสวยเพียบพร้อมที่ย้ายมาจากซาคราแมนโต กับความปราถนาลึก ๆ ที่ซ่อนในใจ ทั้งสามคนต้องมาเกี่ยวข้องกันเพราะ พอล หลงรัก เอสเธอร์ และอยากเป็นแฟนกับเธอ ซึ่งเขาไม่ฉลาดในการพูดหรือสร้างความสัมพันธ์กับใคร ชู สาวเอเชียที่ถูกล้อในโรงเรียนแต่ฉลาดและเก็บตัว แม้ว่าเพื่อนจะจ้างเธอทำรายงานแต่ก็ไม่มีใครเป็นมิตรด้วยมากก็แอบหลงรักสาวสวยคนนี้ จนกระทั่ง พอล จ้างเธอให้เขียนจดหมายรักถึง เอสเธอร์ เรื่องราวทั้งหมดจึงเกิดขึ้น จุดเด่นของ The Half of it1.การนำความต่าง ทั้งเชื้อชาติ แนวคิด ภาษา มานำเสนอผ่านภาพยนตร์ที่ไม่หนักแต่กลับทำให้เห็นความต่างได้อย่างชัดเจน 2.ผูกปมความลับของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างแยบยล มีมุมให้ชวนคิดกับความสัมพันธ์ของตัวละครที่สื่ออกมา ผ่านความสับสน ผ่านการค้นหา การสร้างตัวตนในแบบตัวเองต้องการผ่านข้อความในแชท และ จดหมาย3.ปรัชญาความรัก มุมมองจากหลายทฤษฎี ที่สื่อผ่านบางช่วงบางตอนทำให้ ความคิดของตัวละครมีน้ำหนัก มีความน่าสนใจ4.การเรียนรู้กันและกัน ผ่านตัวละคร ชู และ พอล บทสนทนาที่เรียบง่าย แต่แฝงด้วยความเป็นจริงที่ว่า หากเราต้องการรู้จักใครสักคน การหาประเด็นพูดคุยเกี่ยวกับตัวเขา หรือ เล่าเกี่ยวกับตัวเรา เป็นการเริ่มต้นที่น่าสนใจและทำให้พัฒนาความสัมพันธ์ได้ 5.ความแตกต่างไม่ใช่ปัญหาในมิตรภาพ เป็นความฉลาดในการนำเสนอ และการสร้างบทจริง ๆ เพราะหลายซีนสื่อให้เห็นถึงความแตกต่างในหลายมุมมองไม่ว่าจะเป็น พ่อของชูที่เก่งระดับดอกเตอร์แต่ไม่ก้าวหน้าเพราะภาษาไม่เก่ง แต่กลับเข้าใจที่จะสื่อสารกับพอล หรือ แนวความคิดของ ชู และ พอล ซีนที่นั่งดูหนังกันวิจารณ์กันคนละมุมมองแต่สุดท้ายก็เข้าใจกัน 6.โลเคชั่น ที่ดูเรียบง่าย แต่กลับทำให้หนังสมบูรณ์แบบโดยแทบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย 7.ซีนสัญลักษณ์ที่น่าสนใจผ่านบทสนทนา ผ่านการแสดงออกของตัวละคร แฝงด้วยความหมายที่ทำให้ชวนคิดตาม 8.มุมมองความรักที่ไม่นิยามว่า ผิดหรือถูก เป็นอีกประเด็นที่สื่อมาได้สมบูรณ์และชัดเจน 9.จบแบบปลายเปิด ทำได้สมบูรณ์แบบมากเพราะ The Half of it ไม่ได้ให้คุณมาหาคำตอบว่าสุดท้ายความสัมพันธ์ของตัวละคร จะไปสิ้นสุดที่จุดไหนจะลงเอยอย่างไร ใครจะรักใครกันแน่ หนังไม่มีนิยามให้ แต่ให้คุณเลือกตอบด้วยตัวคุณเองทำไม The Half of it ถึงเป็นหนังดีที่ห้ามพลาด เป็นภาพยนตร์วัยรุ่นที่มีเนื้อหาเข้าถึงได้ง่าย ผ่านมุมมองความรักที่คนสังคมให้คำนิยาม ว่าชายจริงหญิงแท้คือถูกต้อง LGBT คือไม่เหมาะสม แต่หนังไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เลย เพราะหนังจะทำให้คุณรู้สึกถึงแค่คนสามคนที่ตามหาบางสิ่งที่เรียกว่า ครึ่งหนึ่งของตัวเอง มีแทรกแนวความคิดในศาสนาคริสต์ในบางช่วงแบบไม่ล่วงล้ำแต่ไม่เหยีดหยามความเชื่ออื่น จากมุมมองของวัยรุ่น และคำเทศน์จากบาทหลวง การเปิดใจกับความรักในอีกแบบผ่านตัวตนที่แท้จริง เป็นภาพยนตร์ที่บอกได้คำเดียวว่า ห้ามพลาด หากคุณอยากรู้คำตอบจากที่อ่านรีวิว หนังดีที่ห้ามพลาด The Half of it รักไม่มีนิยาม จาก Netflix แนะนำให้ชมด้วยตัวเอง และ สามารถรับชมภาพยนต์จาก netflix ผ่านกล่องทรูไอดีได้สะดวก กำกับและเขียนบทภาพยนต์โดยAlice Wuนักแสดงหลัก Leah Lewis รับบทเป็น Ellie ChuDaniel Diemer รับบทเป็น Paul MunskyAlexxis Lemire รับบทเป็น Aster Floresเพิ่มเติมท้ายเรื่อง ภาพปกและภาพประกอบบทความจาก ตัวอย่าง The Half of it เพลงประกอบภาพยนต์ I’ll Wait ศิลปิน The Strumbellas ฟังเพลงเต็มได้ที่นี่ติดตามผลงานของผู้เขียนได้ที่ https://creators.trueid.net/@8879