ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการวิ่งนั้นเป็นกีฬายอดฮิตไปแล้ว หลาย ๆ คนเริ่มหันมาสวมรองเท้าแล้วออกไปวิ่งกันมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็วิ่งเพื่อสุขภาพ บางคนก็วิ่งแบบจริงจังเพื่อลงแข่งขันวิ่งมาราธอน โดยคนเรานั้นก็มีสภาพร่างกายที่แตกต่างกันออกไป จะให้มาวิ่งแบบเดียวกันก็คงเป็นเรื่องยาก เช่น จะให้คนที่อ้วนมาวิ่งแบบวิ่งเร็วเป็นเวลานาน ๆ ก็คงไม่ไหว เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากเวลาวิ่งนาน ๆ ก็อาจจะทำให้ปวดข้อเท้าได้ เพราะข้อเท้าต้องรับน้ำหนักมาก ดังนั้นมาดูกันว่าเราควรจะวิ่งแบบไหนเพื่อให้เหมาะสมกับตัวเราเอง 1. วิ่งแบบเหยาะ ๆ หรือวิ่งจ๊อกกิ้ง การวิ่งเหยาะ ๆ หรือวิ่งจ๊อกกิ้งนั้นเป็นการวิ่งแบบช้า ๆ เรื่อย ๆ ไม่ได้เร่งรีบ จะทำให้สามารถวิ่งไปได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยกลางคน หรือวัยชรา ก็สามารถวิ่งกันได้ การวิ่งแบบเหยาะ ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะวิ่งเพื่อวอร์มอัพร่างกาย อบอุ่นร่างกายก่อนที่จะแข่งขันกีฬาเป็นต้น สำหรับการวิ่งแบบเหยาะ ๆ หรือจ๊อกกิ้ง จะเป็นการวิ่งแบบเริ่มแรกสำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มวิ่ง เพราะถ้าผู้ที่เริ่มวิ่งแรก ๆ ฝืนไปวิ่งเร็ว ๆ เลยก็อาจจะทำให้มีอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อขาได้ 2. วิ่งสลับกับเดิน แน่นอนว่าถ้าวิ่งเป็นเวลานานต่อเนื่องอาจจะทำให้มีอาการเหนื่อยล้ามาก และอาจจะทำให้เหนื่อยมากจนเกินไป ดังนั้นต้องมีช่วงที่ได้พักบ้างเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาวิ่งได้ต่อ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีการเดินบ้างวิ่งบ้าง แต่ไม่ใช่วิ่ง ๆ แล้วหยุดนะครับ ให้เดินไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มปรับสภาพดีขึ้น หายใจช้าลง แล้วค่อยเริ่มวิ่งต่อใหม่ การวิ่งสลับเดินในช่วงแรก ๆ อาจจะเดินบ่อยแต่ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ต่อไปก็จะทำให้วิ่งได้นานขึ้นเรื่อย ๆ เดินน้อยลง เพราะร่างกายจะเริ่มมีความทนทานมากยิ่งขึ้นไปทำให้วิ่งได้นานขึ้นไปอีก การวิ่งแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ฝึกซ้อมที่จะไปวิ่งมาราธอน ที่มาภาพ https://www.freepik.com/free-photo/couple-training 3. วิ่งเร็วช่วงสั้น ๆ สลับวิ่งช้า การวิ่งเร็วเต็มที่ช่วงนึงแล้วสลับกลับมาวิ่งช้า คนที่วิ่งจะต้องมีความแข็งแรงมากระดับนึงแล้ว การวิ่งแบบนี้จะใช้ช่วงเวลาที่วิ่งช้าในการฟื้นตัว เมื่อฟื้นตัวแล้วก็จะกลับไปวิ่งเร็วอีก ซึ่งการวิ่งแบบนี้หัวใจจะเต้นค่อนข้างเร็วมาก ๆ การหายใจจะถี่ โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ในเวลาที่ต้องวิ่งในการแข่งขัน เมื่อฝึกซ้อมวิ่งแบบเร็วสลับวิ่งช้าบ่อย ๆ จะทำให้การหายใจถี่น้อยลงและเหนื่อยน้อยลงอีกด้วย เหมาะสำหรับการวิ่งมาราธอนที่หวังผลการแข่งขัน 4. วิ่งเร็ว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าวิ่งเร็ว การวิ่งเร็วเป็นการวิ่งในระยะ 100 - 400 เมตร แต่ถ้าเป็นนักกีฬาที่มีความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อมาก อาจจะวิ่งเร็วได้อีกจนถึง 800 เมตรหรือ 1 กิโลเมตร ซึ่งการวิ่งเร็วถ้าเป็นคนปกติอย่างเรา ๆ ก็คงวิ่งได้อยู่ที่แค่ 100 - 200 เมตรเท่านั้น การวิ่งเร็วจะทำให้หัวใจเต้นเร็วมากหายใจถี่มากเช่นกัน ซึ่งการวิ่งแบบนี้ไม่นิยมใช้ในการวิ่งแบบออกกำลังกาย เพราะสามารถวิ่งได้แค่ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น เป้าหมายหลักของการวิ่งแบบนี้คือใช้สำหรับการแข่งขันวิ่งในระยะสั้นที่ต้องใช้ความเร็วเต็มที่ตลอดระยะทาง ที่มาภาพ https://www.freepik.com/free-photo/young-woman 5. วิ่งแบบไม่ช้าเกินไปและไม่เร็วเกินไป การวิ่งแบบนี้เรียกว่าเหมือนเป็นการวิ่งแบบใช้ความเร็วกลาง ๆ ซึ่งต้องเป็นคนที่วิ่งบ่อย ๆ จนสามารถจับจังหวะการวิ่งของตัวเองได้แล้ว การใช้ความเร็วกลาง ๆ ในการวิ่งจะสามารถวิ่งได้นานและได้ระยะทางที่ไกล เพราะการเต้นของหัวใจจะไม่แรงมาก ความถี่ของการหายใจก็ไม่ถี่มาก ยิ่งถ้าฝึกซ้อมบ่อย ๆ แล้วหล่ะก็ ผู้วิ่งจะรู้สึกเหนื่อยน้อยมาก การวิ่งแบบนี้เหมาะสำหรับทั้งการวิ่งออกกำลังกายและการวิ่งมาราธอน ตั้งแต่ 5 - 10 กิโลเมตร แต่ถ้ามีความแข็งแรงมาก ๆ แล้ว ก็อาจจะวิ่งได้ถึง 21 กิโลเมตร หรือ 42 กิโลเมตร เลยทีเดียว ที่มาภาพ https://www.freepik.com/free-photo/side-view-shot และนี่ก็คือรูปแบบของการวิ่ง ซึ่งเราสามารถที่จะวิ่งตามแบบที่เราคิดว่าถนัดและดีกับตัวเรามากที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งแบบไหนก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ให้ผลดีกับร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมากยิ่งขึ้น ข้อสำคัญเลยควรวิ่งต่อเนื่องให้ได้ระยะเวลาเกิน 10 นาทีขึ้นไปนะครับ เพราะร่างกายจะเริ่มเผาผลาญไขมันตั้งแต่นาทีที่ 10 เป็นต้นไป สำหรับใครที่ยังไม่ได้เริ่มออกวิ่ง หยิบรองเท้าและออกไปวิ่งกันเถอะครับ ที่มาภาพปก https://www.freepik.com/free-photo/sportive