สวัสดีคนอยากผอมทุกคน วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์การวิ่งเพื่อลดความอ้วนกันครับ ก่อนอื่นผมก็ต้องบอกว่าผมเป็นคนที่ไม่ได้อ้วนแค่อวบ ๆ ส่วนสูง 176 เซนติเมตร น้ำหนัก 80 กิโลกรัม ค่อนข้างมีพุงและเหนียง ผมมีอาชีพเป็นกราฟิก ดีไซน์ เป็นพนักงานประจำบริษัทเอกชนแห่งนึง เข้างาน 9 โมงเช้าเลิกงาน 6 โมงเย็น โดยปกติแล้วจะไม่ได้กินข้าวเช้า มื้อกลางวันจะกินเยอะหน่อยเลิกงานกลับมาก็กินอีกมื้อ พอตกกลางคืนก่อนนอนก็จะกินขนมพวกกรอบ ๆ ทำแบบนี้อยู่เป็นปี ๆ จนเริ่มรู้สึกเหมือนว่าใส่เสื้อผ้าแล้วทำไมมันอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญเริ่มมีอาการปวดหลังมาด้วยเวลาตื่นนอน อันนี้ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับความอ้วนที่เพิ่มขึ้นด้วยรึป่าว วันเวลาผ่านไปอยู่วันนึง แฟนของผมก็มาชวนผมไปวิ่งมาราธอน 10 กิโลเมตร ตอนนั้นผมไม่มีความคิดว่าจะไปวิ่งเลย คิดว่าเสียค่าสมัครไปแล้วยังต้องไปเหนื่อยทรมานวิ่งอีกหรอเนี้ย แต่ก็ต้องตามใจแฟนเลยจำใจต้องไปและนี่จะเป็นการวิ่ง 10 กิโลเมตรเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยปกติแล้ว เวลาจะไปวิ่งงานแบบนี้เราควรมีการซ้อม แต่ผมนี่ไม่เลยก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ จนมาถึงวันที่ต้องไปวิ่งก็ตื่นเต้นนิดหน่อยคิดในใจว่าวิ่งแค่ 10 กิโลเมตรจะสักแค่ไหนกัน ก็ตื่นแต่เช้ามืดเพราะงานวิ่งส่วนใหญ่จะปล่อยนักวิ่งเวลาเช้ามืด ตอนนั้นคือก็รู้สึกว่าง่วงก็ง่วงนี่มาทำไรที่นี่ พอเริ่มปล่อยตัวผมก็ออกวิ่งวิ่งไปได้สักประมาณ 1 กิโลเมตรมีความรู้สึกว่าเหนื่อยมาก เหนื่อยแบบใจจะขาด แต่ด้วยความที่ว่าเราเป็นผู้ชายจะหยุดเดินเลยคงเสียฟอร์ม ที่สำคัญโม้กับแฟนไว้เยอะด้วยประมาณว่าแค่ 10 กิโลเมตรเองชิล ๆ ก็พยายามฝืนตัวเอง วิ่งต่อไปจนวิ่งผ่านไปได้สัก 10 นาที เริ่มมีความรู้สึกว่าอาการเหนื่อยเริ่มหายไป คือความเข้าใจของเราต้องคิดว่ายิ่งวิ่งต้องยิ่งเหนื่อยมากขึ้น แต่นี่ผ่านไป 10 นาทีทำไมเหมือนเหนื่อยน้อยลงตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ผมก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนถึง 5 กิโลเมตร ความเหนื่อยเริ่มกลับมาอีกครั้ง คราวนี่ผมเริ่มหยุดวิ่งสลับมาเดินบ้างแล้วแต่ที่แปลกคือ ทำไมพอเดินไปนาน ๆ แล้วแทนที่จะได้พักน่าจะหายเหนื่อย แต่พอจะวิ่งทำไมวิ่งแทบไม่ไหว ตัวผมก็เดิน ๆ สลับวิ่งมาเรื่อย ๆ จนมาถึง 1 กิโลเมตรสุดท้ายที่เราไม่สามารถจะเดินได้แล้วเพราะมีช่างภาพรอถ่ายภาพนักวิ่งเยอะ ต้องฝืนแรงเฮือกสุดท้ายวิ่งต่อให้ถึงเส้นชัย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทรมานมาก ๆ และแล้วก็มาถึงเส้นชัยจนได้ เมื่อถึงเส้นชัยหยุดวิ่ง มีความรู้สึกว่าขามีอาการตึงมาก ๆ หลังจากกลับบ้านเดินแทบไม่ไหวปวดขามาก ๆ ปวดไป 2-3 วัน เมื่อหายปวด อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกอยากวิ่งขึ้นมา และอยากไปงานวิ่งอีกเรื่อย ๆ คราวนี้เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเลย จากที่ไม่ชอบวิ่งกลายเป็นคนชอบวิ่งขึ้นมา ถึงขนาดลงทุนไปซื้อนาฬิกาวิ่งเลยทีเดียว จากปกติไม่ค่อยออกกำลังกายคราวนี้หลังเลิกงานกลับมา ผมก็จะมาวิ่งที่สวนสุขภาพเกือบทุกเย็น ตอนนั้นผมยังคงน้ำหนัก 80 กิโลกรัม ผมเริ่มวิ่งไปเรื่อยโดยช่วงแรกผมวิ่งทุกวันวันละ 10 กิโลเมตร และจากที่กินขนมกลางคืนกลายเป็นหลัง 6 โมงเย็นผมจะไม่กินอะไรเลยแรก ๆ ก็หิวพอผ่านไปเรื่อย ๆ ก็ไม่หิวแล้วครับ ผ่านไป 2 สัปดาห์ ผมรู้สึกว่ากางเกงที่ใส่ประจำมันหลวม ๆ เหมือนเหนียงจะลดลง ผมเลยลองไปชั่งน้ำหนักดู ผมตกใจมากเมื่อน้ำหนักผมลดลงมาเหลือ 76 กิโลกรัมภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งผมก็ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็เริ่มมีวันหยุดพักบ้าง และไปงานวิ่งมาราธอนเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ เหมือนเสพติดการวิ่งไปแล้ว ในช่วงหลัง ๆ ผมก็จะวิ่งน้อยลงเช่นบางวันวิ่ง 5 กิโลเมตร บางวันวิ่ง 7 กิโลเมตร และมีวันที่กินได้อย่างอิสระบ้าง ผมก็ใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือนครึ่ง กางเกงที่ใส่ประจำจากตอนแรกไม่ต้องรัดเข็มขัดยังติดกระดุมแทบไม่ได้ จนปัจจุบัน ถ้าไม่รัดเข็มขัดกางเกงหลุดไปกองกับพื้นเลย และแล้วก็ถึงเวลาไปชั่งน้ำหนักดูผลออกมาคือน้ำหนักเหลือ 71.5 กิโลกรัม รู้สึกดีใจมากหลังจากนั้นผมก็ยังคงวิ่งเรื่อย ๆ แต่น้ำหนักช่วงหลัง ๆ จะไม่ลดลงแล้วนะครับจะลดก็ลดลงน้อยมากครับ เหมือนมันอยู่ตัวแล้ว สรุปว่าการวิ่งก็สามารถลดความอ้วนได้นะครับ แต่กว่าจะลดได้ก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะต้องมีความอดทนในช่วงแรก ๆ ต้องต่อสู้กับความหิวในช่วงแรก และต้องมีวินัย แต่ถ้าผ่านมาได้แล้วมันก็คุ้มสำคัญสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ทั้งสุขภาพก็แข็งแรงตามไปด้วยจากที่เหนื่อยง่ายตอนนี้วิ่ง 10 กิโลเมตรก็ไม่เหนื่อยมากแล้วใส่เสื้อผ้ามั่นใจขึ้นพุงยุบหายไปเลย ดังนั้นสำหรับใครที่อยากลดน้ำหนักด้วยการวิ่งจริง ๆ บอกเลยตรงนี้ว่าถ้าผมทำได้คุณก็ต้องทำได้เช่นกัน ดังนั้นเรามาเริ่มออกวิ่งกันเถอะครับ ที่มาภาพ cover https://www.freepik.com/free-photo/young-man-runner-tying-shoelaces_1211541.htm#page=1&query=run&position=5