การเริ่มทำงาน คือการเริ่มต้นเป็นหนี้ เราเคยคุยกับเพื่อนแบบนี้ เราเป็นหนี้บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิตหลายใบมาตลอดหลายปี เพื่อนก็ปลอบใจว่า “ใคร ๆ เค้าก็เป็นหนี้กัน!! .. อย่าไปเครียด” ซึ่งเอาจริง ๆ เพื่อนอาจจะเครียดอยู่ก็เป็นได้ แค่พยายามปลอบใจเราเท่านั้นเอง ลึก ๆ ในใจ ก็ไม่ชอบคำปลอบใจแบบนี้เอาซะเลย (บอกตรง ๆ )เมื่อวันเวลาล่วงเลย ความคะนองเรื่องการใช้เงินก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งเรานำใบแจ้งหนี้เดือนล่าสุดของทุกสถาบันมากองรวมกัน แล้วจดรายละเอียดทุกอย่างแบบสรุปออกมา หลัก ๆ คือ ยอดหนี้คงค้างและยอดจ่ายชำระขั้นต่ำ จากนั้นก็เริ่มวางแผนใหม่ทั้งหมด ดังนี้เครดิตภาพ : Free-Photosบริหารหนี้สินแบบไร้ข้ออ้าง อยู่บนความเสี่ยงบ้าง แต่งัดวินัยการเงินเข้าสู้1. ลำดับยอดหนี้จากน้อยไปหามากเหตุผลคือ หนี้ที่จำนวนน้อยกว่า มีโอกาสปิดจบได้เร็วกว่า เราจึงตั้งใจว่าจะจ่ายหนี้มากกว่าขั้นต่ำ ในบัตรนั้นก่อนเสมอ อย่างน้อย 500-1,000 บาท โดยไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้น (ปกติหาข้ออ้างเข้าข้างตัวเองได้ตลอด) ส่วนบัตรอื่น ๆ ก็จะทำเหมือนกันเป็นลำดับถัดไป สิ่งที่ดีต่อใจคือ จำนวนเงินที่จ่ายชำระหนี้เข้าไป หักเงินต้นมากกว่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จากนั้นก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ ทยอยปิดหนี้บัตรไปได้อีกหลายใบ ในเวลาที่กระชับมากกว่าที่คิดเอาไว้เครดิตภาพ : TheDigitalWay2. ไม่ยกเลิกการใช้บัตรหรือตัดบัตรทิ้งหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นความเสี่ยงอย่างมากที่ไม่ทิ้งบัตร แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่า ทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ซึ่งเหตุผลของเราคือ เก็บไว้กดใช้ยามฉุกเฉิน นั่นหมายความว่าเราไม่มีเงินสำรองมากพอ หากต้องใช้เงินจำนวนหลักหมื่นในครั้งเดียว (อันนี้สารภาพ) แต่ที่ต้องป้องกันอย่างสุดชีวิต ก็คือในเรื่องของ “วินัยทางการเงิน” เราบอกตัวเองว่า ในเมื่อจัดการข้อ 1 ให้ผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว การมีบัตรที่กดได้ง่าย ๆ ก็ไม่ถือว่าคือความเสี่ยง หากเราไม่กดใช้มันแบบไร้เหตุผลอย่างน้อยครั้งหนึ่ง ก็เคยกดเพื่อไปซื้ออุปกรณ์ซ่อมบ้าน ตอนช่วงที่พายุเข้า แล้วหลังคาปลิวไปเกือบ 60 แผ่นมาแล้ว ในครั้งนั้นรอหลังคาจากภาครัฐไม่ไหว เลยต้องออกเงินไปก่อน แล้วเอาหลังคาที่ได้รับความช่วยเหลือมา ไปขายคืนที่ร้านแทนอีกทีเครดิตภาพ : Free-Photos3. ไม่ออกนอกบ้าน=ไม่เสียเงินด้วยความที่เราออกจากงานประจำมาแล้วหลายปี ดังนั้นจึงทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายการเดินทางได้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ทำงานประจำ ซึ่งมีต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างน้อยละวัน 200+ บาท คือค่าน้ำมันรถที่ต้องเดินทางไป-กลับ 50 กิโลเมตร และค่าข้าว 2-3 มื้อตัดมาที่หน้างานทุกวันนี้ เดินวนอยู่แต่ในบ้าน และทำงานที่หน้าคอมเป็นส่วนใหญ่ ก็เท่ากับประหยัดต้นทุนไปได้ครึ่งหมื่นแล้ว อย่าว่าแต่จ่ายน้อยเลย วัน ๆ แทบไม่ได้เปิดกระเป๋าตังค์ เพราะกินอยู่กับครอบครัวตลอด แถมแม่ใจดีมาก ไม่เคยทวงเงินค่าข้าวเลยสักบาทเดียว แต่เราก็รับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และอื่น ๆ แทนเครดิตภาพ : janeb13การไม่มีงานประจำทำ แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่มาก แต่ทำให้เราคิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างหนึ่งว่า แม้เราจะมีรายได้ไม่มากเท่าใคร หรือไม่เท่ากับงานประจำที่เคยทำมา แต่หากเราสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ ไม่สร้างหนี้เพิ่ม พัฒนาตัวเองให้มีรายได้หลายทาง ประกอบกับมีวินัยทางการเงินให้มากกว่าเดิม ก็มีความเชื่อเสมอว่า อนาคตต้องไม่ลำบากจนเกินไปอย่างแน่นอนเครดิตภาพปก : TheDigitalWay