“ถ้าวันหนึ่งฉันจะนั่งรถไฟ” พ็อกเก็ตบุ๊คเล่มนี้ พี่สาวคนหนึ่งหยิบมาเผื่อ เพราะเห็นว่าเราชอบเที่ยวไปเรื่อย ดังนั้นคำว่าหยิบมาเผื่อ ก็เพราะที่สถานีรถไฟเค้าแจกฟรีนั่นเอง!! ... เราอ่านจบไปหลายรอบแล้ว บอกได้เลยว่ากระตุ้นความอยากเดินทางได้ดีเลยทีเดียว และที่ต้องหยิบหนังสือมารีวิว ก็เพราะมั่นใจว่า เพื่อน ๆ หลายคนก็คงหลงรักการเดินทางโดยรถไฟอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน ...กองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย คือผู้ได้รับมอบหมายให้จัดทำหนังสือเล่มนี้ออกมา และแน่นอนว่าต้องเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีจำนวนหน้าไม่มากไม่น้อย 160 หน้าเท่านั้นเองเพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการเตรียมความพร้อมจากตัวหนังสือ ทางการรถไฟก็จัดให้ทั้งเล่มนี้เป็นภาพสีทั้งหมด และส่วนหนึ่งต้องบอกว่า “ให้ภาพมันเล่าเรื่อง” ก็ไม่ผิดคำเท่าใดนัก เพราะนอกจากข้อมูลในการเตรียมความพร้อม สำหรับการเดินทางโดยรถไฟแล้ว ก็ยังมีภาพสวย ๆ ของโบกี้ชั้นต่าง ๆ และจุดท่องเที่ยวสวย ๆ มาอวดให้เราอยากออกไปเที่ยวกันอีกด้วยเริ่มต้นทบทวนความรู้ด้วยข้อความที่บอกว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีกระทำพระฤกษ์ สร้างทางรถไฟ ณ บริเวณย่านสถานีกรุงเทพ ในปี 2434 เคาะเป็นตัวเลขออกมาคือ 129 ปีมาแล้ว (ปีนี้ 2563) ที่พวกเราชาวไทยได้เริ่มต้นใช้ทางรถไฟอย่างเป็นทางการกัน และแม้ว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ที่สถานีรถไฟลำปางบ้านเรา ก็ยังคงอนุรักษ์หัวรถจักรไอน้ำเอาไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นพร็อบถ่ายภาพที่แม้แต่คนในพื้นที่เอง ก็แวะเวียนมาถ่ายภาพกันอยู่บ่อยครั้งด้วยเช่นกันหนังสือเล่มนี้ จะแนะนำขั้นตอนสำหรับการซื้อตั๋วรถไฟในหลาย ๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสด ๆ ที่หน้าเคาท์เตอร์ซึ่งเราจะได้รายละเอียดครบถ้วนพร้อมตั๋วกันไปเลย แต่ก็ต้องทำใจว่า หากเราไม่ได้ศึกษาเรื่องเวลามาให้ดี ๆ ก่อน ก็อาจพลาดขบวนรถไฟไปได้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้น วิธีที่เราสามารถจองตั๋วจากที่ไหนก็ได้ ก็คือจองผ่านระบบ E-Ticket SRT ที่ https://www.thairailwayticket.com/eTSRT/ ซึ่งในหนังสือจะบอกวิธีการทั้งหมดเอาไว้แล้ว และในเว็บไซต์ก็มีรายละเอียดอีกทางด้วยจุดสำคัญที่ต้องยอมรับว่าพวกเราไม่ค่อยสนใจก็คือ “ข้อควรทราบเกี่ยวกับการใช้ตั๋วโดยสาร” ว่ามีจุดใดบ้างที่เราควรรู้ เช่น การเปลี่ยนแปลงการเดินทางทำอย่างไร? หรือ การขอคืนเงินค่าโดยสารทำอย่างไร? เป็นต้น เพราะหากเกิดปัญหาติดขัดขึ้นมา เราจะได้มีวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง รวมถึงลดภาระของเจ้าหน้าที่ในการสื่อสารไปอีกทางส่วนผู้ที่ต้องการนำฝากรถจักรยานยนต์ไปกับขบวนรถไฟ ในหนังสือเล่มนี้จะบอกระระยะทาง น้ำหนัก และราคาจากต้นทางถึงปลายทางเอาไว้ให้ทั้งหมด หรือหากอยากได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่ ก็มีเบอร์โทรของทุกชุมสาย และทุกสถานีรถไฟเอาไว้ให้ด้วยเช่นกันรู้หรือไม่ว่า? ประเทศไทยของเรา มีขบวนรถโดยสารรุ่นใหม่มากถึง 115 คัน ใน 4 เส้นทางหลัก โดยแบ่งออกเป็นภาคเหนือ 1 เส้นทาง ภาคอีสาน 2 เส้นทาง และภาคใต้ 1 เส้นทาง แค่เห็นบรรยากาศภายในโบกี้ ที่เป็นเพียงภาพถ่าย เราก็อยากเดินทางซะพรุ่งนี้เลยทีเดียว เพราะภายในถูกเนรมิตให้คล้ายกับรถประจำทาง VIP ซึ่งเป็นห้องแอร์ เหมาะสำหรับการเดินทางอันแสนยาวนานอย่างมาก แต่สิ่งที่เราจะได้มากกว่าคือบรรยากาศด้านนอก ที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร... แค่คิดก็มีความสุขแล้ว…มากไปกว่านั้น ทางการรถไฟยังจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวให้เราอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมแบบเช้าไปเย็นกลับ โดยเริ่มต้นจากสถานีกรุงเทพ ไปเที่ยวหัวหิน แล้วกลับถึงกรุงเทพในเวลา 19.25 น. หรือ โปรแกรมค้างคืนชมธรรมชาติสวย ๆ ทางเหนือ โดยเริ่มต้นจากสถานีไหนก็ได้ แล้วมาลงที่สถานีขุนตาล เดินเท้าอีก 1,500 เมตร เพื่อไปค้างคืนที่อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล เป็นต้น ... ที่ยกตัวอย่างแบบนี้ เพราะโปรแกรมหลัง คือจุดปักหมุดในอนาคตของเราเอง (^_^)ท้ายนี้อยากบอกว่า หนังสือ “ถ้าวันหนึ่งฉันจะนั่งรถไฟ” เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่รักการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและการอนุรักษ์ เพราะช่วยกระตุ้นต่อมการเดินทางให้กระตุกแบบรัว ๆ กันไปเลย ยิ่งกว่านั้น รายละเอียดที่เราควรรู้ทั้งหมดสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ ก็อยู่ในหนังสือเล่มนี้เช่นเดียวกัน พูดได้อย่างเต็มปากว่า เป็นหนังสือฟรีที่ต้องพกเอาไว้ใกล้ตัวอีกหนึ่งเล่มเพื่อน ๆ สามารถขอรับได้ที่สถานีรถไฟทั่วประเทศนะคะ เมื่อทุกอย่างพร้อม เราจะออกเดินทางกัน!!!สายรถไฟ สโลว์ไลฟ์ ต้องอ่าน (คลิก) :- เที่ยวไปเรื่อย เมืองรถม้า “สถานีรถไฟนครลำปาง”- สำรวจเส้นทางวิ่งเทรล แถมเดินเที่ยวแบบเดี่ยว ๆ @อุโมงค์รถไฟขุนตาล ลำพูน