ญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ทำหนังรักออกมาได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งก็ว่าได้ เพราะหากย้อนดูถึงหนังโรแมนติกที่่ผ่าน ๆ มาในยุคนี้ หนังที่หลาย ๆ คนต่างยกย่องว่าซาบซึ้งกินใจ และทำหลายคนเสียน้ำตาได้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากหนังญี่ปุ่นทั้งสิ้น นับตั้งแต่ Be With You ,Love Letter มาจนถึงหนังยุคหลัง ๆ อย่าง I Want to Eat Your Pancreas และสำหรับ Last Letter คืออีกหนึ่งหนังโรแมนติกจากญี่ปุ่นที่พร้อมสร้างปรากฏการณ์เรียกน้ำตา สร้างความประทับใจแก่คนดูอีกครั้ง การันตีคุณภาพด้วยชื่อของผู้กำกับอย่าง ชุนจิ อิวาอิ เจ้าของผลงาน Love Letterหนังจะเล่าเรื่องราวของ ยูริ (ทาคาโกะ มัตซุ) หญิงสาววัยกลางคน ที่เดินทางกลับมายังบ้านเกิดเพื่อร่วมงานศพของ มิซากิ(ฮิโรเสะ ซึสึ) พี่สาวของเธอที่พึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ซึ่งในระหว่างนั้นเธอก็ได้รู้ข่าวถึงการจัดงานเลี้ยงรุ่นของกลุ่มอดีตเพื่อนร่วมชั้นของ มิซากิ ทำให้ ยูริ ตั้งใจว่าจะไปร่วมงานเพื่อแจ้งข่าวการตายของพี่สาว แต่ทว่าทุกคนในงานกลับคิดว่าเธอคือ มิซากิ จนทำให้เธอตัดสินใจสวมบทเป็นพี่สาวด้วยความจำใจ และนั่นก็ทำให้เธอได้กลับมาพบกับ เคียวชิโร่ (มาซาฮารุ ฟุคุยาม่า) ชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกของเธอ โดยทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อติดต่อเอาไว้ ทางด้าน ยูริ เลยสวมบทเป็น มิซากิ เพื่อกลับมาสานสัมพันธ์กับ เคียวชิโร่ อีกครั้งจากพลอตเรื่องโดยรวมของหนัง Last Letter เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรจากหนังดราม่า โรแมนติก ที่หลายคนคุ้นเคย โดยเฉพาะการที่หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของ ชุจิ อิวาอิ ที่เคยสร้างหนังพลอตเดียวกันนี้อย่าง Love Letter ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับวัฒนธรรมสุดคลาสสิกอย่าง การเขียนจดหมาย การรำลึกถึงอดีต และเรื่องราวของความตาย แต่สิ่งที่ อิวาอิ สามารถสร้างสรรค์ในหนังเรื่องนี้คือการหยิบวัตถุดิบเดิม ๆ เหล่านี้ มาถ่ายทอดให้เต็มไปเซอร์ไพรส์ และเล่นกับอารมณ์ของคนดู ได้อย่างรุนแรงหนังพยายามเล่นกับความสัมพันธ์ที่แสนขมขื่นของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่เกิดจากความตาย ความไม่สมหวังในอดีต มาถ่ายทอดให้ออกมาในอารมณ์ฟีลกู้ด ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นความสัมพันธ์ที่ชวนอมยิ้ม และหัวเราะไปกับหนังตลอดทั้งเรื่อง ในขณะที่บทบาทของจดหมายในหนังเรื่องนี้ ก็ยังมีอิทธิพลสำคัญต่อหนังไม่แพ้กับ Love Letter ซึ่งแม้หนังจะมีพื้นหลังอยู่ในโลกยุคปัจจุบันก็ตาม แต่ อิวาอิ ก็สามารถคืนชีพความคลาสสิกของการเขียนจดหมายให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งแต่ด้วยความที่หนังเล่นกับความสัมพันธ์อันขมขื่นของตัวละครมาเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว แม้หนังจะเต็มไปด้วยความฟีลกู้ด และเสียงหัวเราะระหว่างทาง แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลาไปสู่ดราม่าสุดสะเทือนอารมณ์ในช่วงท้าย โดยหนังเรื่องนี้ยังสามารถเล่นกับอารมณ์คนดูไม่ต่างจากหนังญี่ปุ่นเรื่องอื่น ๆ ทั้งการสับขาหลอกสุดสะเทือนอารมณ์ หรือการค่อย ๆ ขยี้อารมณ์คนดูทีละเล็กทีละน้อย แต่ที่น่าชื่นชมคือ หนังไม่พยายามเรียกน้ำตา เล่นกระหน่ำความโศกเศร้าใส่คนดูมากเกินไป หนังทิ้งช่วงให้คนดูได้โศกเศร้าไปกับตัวละครในบางช่วง และทิ้งความหวัง ความประทับใจให้คนดูได้ซาบซึ่ง ไปกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหนังที่น่าชื่นชมคือหนังสามารถใช้ทีมนักแสดงได้คุ้มค่ามาก ๆ เพราะหนึ่งตัวละคร ในเรื่องนี้ จะต้องมีสองช่วงเวลา หรือนักแสดงบางคนในเรื่องนี้จะต้องรับบทเป็นสองตัวละคร ซึ่งหนังก็สามารถสร้างสรรค์ให้ทุกนักแสดง ทุกตัวละครในหนังเรื่องนี้ มีส่วนเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างลงตัว ซึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คงไม่พ้นบทของ ฮิโรเสะ ซึสึ และนานะ โมริ ที่ทั้งคู่ต้องรับบทเป็นสองตัวละครในเรื่อง ซึ่งทั้งคู่ก็สามารถถ่ายทอดความแตกต่างของแต่ละตัวละครออกมาได้ชัดเจน รวมถึงการถ่ายทอดบทดราม่า ที่ทั่งคู่ต่างถ่ายทอดออกมาแบบที่ไม่ต้องฟูมฟาย หรือเล่นใหญ่โต แต่ก็สามารถทำให้คนดูรู้สึกเศร้าไปกับตัวละครได้ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า Last Letter ถือว่าหนังญี่ปุ่นอีกเรื่องที่สามารถเล่นกับอารมณ์คนดูได้ดีมาก ๆ แม้องค์ประกอบโดยรวมของหนังจะไม่ต่างจากหนังแนวเดียวกันเรื่องอื่น ๆ แต่ อิวาอิ ยังคงสามารถหยิบเอาความคลาสสิกของจดหมาย มาสร้างความซาบซึ่ง ประทับใจได้อีกครั้ง ในขณะที่การแสดงของทีมนักแสดงนำถือว่าเป็นอีกเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงรักแทบทุกตัวละครในหนังเรื่องนี้ ใครที่อยากเสียน้ำตาให้หนังรักดี ๆ ซักเรื่อง หนังเรื่องนี้ถือว่าไม่ควรพลาด Cr.รูปภาพจาก มงคล ภาพยนตร์ ลิ้งต้นฉบับบทความ https://www.facebook.com/IWatchmoviesalot/photos/a.1124639924276323/3539713966102228/?type=3&theaterสามารถติดตามอ่านรีวิวหนัง และข่าวสารหนัง เพิ่มเติมได้ที่(เพจของผู้เขียน) https://www.facebook.com/IWatchmoviesalot