ความจริงอย่างหนึ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ คือนอกจากความรู้ทางวิชาการแล้ว เรามักเสาะหาเกร็ดสนุก ๆ ในเรื่องราวหรือตำนานที่เราได้เรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าประวัติศาสตร์เรื่องนั้นจะเกี่ยวข้องกับการรบราฆ่าฟัน สงคราม หรือเรื่องโหดร้ายทารุณที่ไม่ควรมีเรื่องขบขันแทรกอยู่ เช่นเดียวกับเรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังในบทความนี้ ว่าด้วยประวัติศาสตร์การครองอำนาจของนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoléon Bonaparte) หรือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แม่ทัพเอกคนสำคัญอันเลื่องชื่อด้านการทำสงคราม ไม่ว่าจะกี่สมรภูมินโปเลียนก็ไม่หวั่น ควงดาบควบม้าเรียนรู้กลศึกของฝ่ายตรงข้ามแล้วพิชิตมาได้นับไม่ถ้วน แต่เหตุใดนโปเลียนจึงได้แพ้สงครามครั้งสำคัญจนราบคาบ หมดสิ้นอำนาจอย่างเป็นทางการ บทความนี้จะพาทุกคนไปหาคำตอบแบบเจาะลึก ชนิดบุกถึงใต้กางเกงนโปเลียนกันเลยทีเดียวความจริงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการแพ้สงครามของนโปเลียนในครั้งนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมาก แต่ผู้เขียนจะเล่าฉบับย่อแบบรวบรัด โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อจักรพรรดินโปเลียนกลับมาถือครองอำนาจ หลังจากถูกเนรเทศออกไปอยู่ที่เกาะเอลบา (Elba) ในฐานะผู้แพ้สงครามพันธมิตรทั้ง 6 หรือที่หลายคนเคยได้ยินว่าช่วงร้อยวันของนโปเลียนนั่นแหละ คราวนี้พอนโปเลียนกลับมา ทำให้ชาติมหาอำนาจยุโรปคือ รัสเซีย ปรัสเซีย ออสเตรีย และอังกฤษเกิดความไม่พอใจ เพราะทั้ง 4 ชาตินี้เคยลงนามในสนธิสัญญาร่วมกัน ว่าจะกำจัดอำนาจของนโปเลียนลงเพื่อสร้างดุลอำนาจให้กับทวีปยุโรป ทั้ง 4 ชาติจึงผนึกกำลังกันเพื่อจะโค่นนโปเลียนให้สำเร็จ ซึ่งสงครามครั้งนั้นรู้จักกันดีในชื่อ สมรภูมิวอเตอร์ลู (Battle Of Waterloo) เกิดขึ้นในปี 1815 ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศเบลเยี่ยม ถือเป็นการพ่ายแพ้ที่ทำให้นโปเลียนสูญสิ้นอำนาจลงอย่างราบคาบจากการพ่ายแพ้ของจักรพรรดินโปเลียนในสมรภูมิวอเตอร์ลู ทำให้ผู้เชี่ยวชาญและนักประวัติศาสตร์ได้ศึกษาถึงเหตุผลที่ทำให้นโปเลียนไม่สามารถชนะศึกในครั้งนี้ ทฤษฎีง่าย ๆ ที่มีการเสนอกันคือ กองทัพนโปเลียนไม่สามารถสู้กับกองทัพที่ทั้ง 4 ชาติผนึกกำลังกันได้ เอาง่าย ๆ มันคือสงครามแบบ 4 รุม 1 แต่ถ้าวัดจากกำลังพลในครอบครองของนโปเลียนก็ถือว่ามีจำนวนมากพอที่จะเอาชนะศึกครั้งนั้นได้อย่างง่ายดาย จึงมีนักประวัติศาสตร์ที่เสนอเรื่องปัญหาสุขภาพของนโปเลียนขณะทำศึกในสมรภูมิวอเตอร์ลูขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจมีหลักฐานสนับสนุนกรณีดังกล่าวหลายชิ้นและมีข้อสรุปว่า เหตุที่นโปเลียนพ่ายแพ้ในสมรภูมิก็เพราะเป็นริดสีดวง จากบันทึกหลายฉบับกล่าวว่า ทุกครั้งที่ทำสงคราม นโปเลียนจะขี่ม้าลาดตระเวนสำรวจภูมิประเทศบริเวณสนามรบด้วยตัวเอง วางแผนทำกลศึกได้อย่างแยบยล แต่ไม่ปรากฎว่ามีบันทึกการลาดตระเวนสนามรบวอเตอร์ลู และนโปเลียนเองก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง เป็นข้อสันนิษฐานว่านโปเลียนอาจเป็นริดสีดวงซึ่งเป็นโรคที่เป็นกันมากในยุคนั้น หากใครสนใจเรื่องนโปเลียนเป็นริดสีดวงจนแพ้สงคราม สามารถอ่านได้จากหนังสือที่ชื่อว่า Napoleon’s Hemorrhoids And Other Small Events That Changed Historyแต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากนโปเลียนพ่ายแพ้สงครามให้กับชาติพันธมิตรยุโรปทั้ง 4 แล้ว มีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีการนำเอาวัตถุดิบชั้นดีจากทั้ง 4 ชาติมาปรุงอาหาร โดยเฉพาะเนื้อวัวหลายพันกิโลกรัม ว่ากันว่าในงานฉลองครั้งนี้เองที่อาหารจานหรูอย่าง บีฟ เวลลิงตัน (Beef Wellington) ซึ่งตั้งชื่อตามนายพลอาเธอร์ เวลสลีย์ (Arthur Wellesey) ดยุคแห่งเวลลิงตัน ผู้เป็นแม่ทัพของชาติอังกฤษในสมรภูมิวอเตอร์ลูนั่นเอง หากใครเคยดูรายการแข่งขันอาหารอย่างมาสเตอร์เชฟ คงคุ้นเคยกับบีฟเวลลิงตันเป็นอย่างดี ลักษณะของอาหารชนิดนี้คือ เนื้อระดับมีเดียมแรร์ (Medium Rare) เคลือบด้วยเห็ดผัดที่เรียกว่าดุกเซล (Duxelles) และพาร์มาแฮม (Parma Ham) จากนั้นจึงห่อด้วยแป้งพัฟเพสตรี (Puff Pastry) กลายเป็นอาหารจานหรูตามภัตตาคารชื่อดังสมัยนี้นั่นเองคราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่า ริดสีดวงกับอาหารชื่อดังอย่างบีฟเวลลิงตันมีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดินโปเลียนอย่างไร เรียกว่าสมรภูมิรบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทำให้เราได้ต่อยอดศึกษาประวัติศาสตร์ได้อีกหลายมิติ ดังนั้นใครที่มีโอกาสได้รับประทานบีฟเวลลิงตันก็อย่าลืมระลึกถึงริดสีดวงของนโปเลียนกันด้วย เพราะถ้าวันนั้นนโปเลียนไม่เป็นริดสีดวงจนแพ้สงคราม ก็คงไม่มีงานฉลองของชาติพันธมิตรยุโรป และอาจจะไม่มีอาหารจานหรูตกทอดมาถึงคนรุ่นเราเลยก็เป็นได้รูปภาพหน้าปก โดย WikimediaImages : Pixabayภาพประกอบที่ 1 โดย WikiImages : Pixabayภาพประกอบที่ 2 โดย Alannascannon : Pixabayภาพประกอบที่ 3 โดย Loija Nguyen : Unsplashภาพประกอบที่ 4 โดย Europeana : Unsplash