กระผมในนามนักเขียนขออนุญาติหยิบยกเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านๆมา เพื่อประโยชน์ของเพื่อนนักเขียนที่จะได้เรียนรู้เรื่องราว ความเป็นไปเเละอาจจะสามารถคาดการณ์ได้ถึงเเนวโน้มของวิกฤต Covid - 19 ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ว่าจะดำเนินไปในทิศทางใดเพื่อที่จะสามารถปรับตัวเเละรอรับผลกระทบได้อย่างดีที่สุดวิกฤต 1930 Great Depression เกิดโดยดำเนินเรื่องราวมาตั้งเเต่หลังเกิดสงครามโลกครั้ง 1 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับผลประโยชน์เเละก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคธุรกิจ ภาคการผลิต เเละเกษตรกรรม เริ่มเข้าสู่ยุคของการสร้างหนี้สินในเวลานั้นการเติบโตของเศรษฐกิจตามมาด้วยการปรับตัวขึ้นอย่างรุนเเรงของตลาดหุ้น เมื่อทุกอย่างพุ่งไปด้านหน้าอย่างก้าวกระโดดก็ได้สร้างหนี้ก้อนโตฟองสบู่ค่อยๆสะสมเเละรอวันระเบิด หนี้ของคนอเมริกาในช่วงเวลานั้นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตั้งเเต่หนี้สิ้นภาคครัวเรือนไปถึงภาครัฐ จนเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1929 จึงเกิดการตกอย่างรุนเเรงของตลาดหุ้น ที่เรียกเหตุการณ์วันนั้นว่า Black Tuesday หลังจากนั้นมันก็ส่งผลกระทบไปเป็นวงกว้าง ไปสู่ภาคธนาคารที่ปล่อยเงินกู้ ความเชื่อมั่นของผู้คนที่มีต่อธนาคาร เกิดการถอนเงินออกจากธนาคารจนธนาคารไม่มีเงินสดมากพอให้ถอนเงิน ตามมาด้วยการปิดกิจการของบริษัทต่างๆ ผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากการตกงานมีจำนวนมาก จนกระทั้งการเข้ามารับตำเเหน่งของประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt เเละออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จำกัดสภาพคล่องของธนาคารให้ธนาคารที่มีความพร้อมเปิดได้ตามปกติ ดูเเลอัตราดอกเบี้ยอย่างเข้มงวด ผลกระทบที่มีต่อประเทศไทย ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงหลังจากที่ประเทศไทยได้ดำเนินการปฏิรูปบ้านเมือง เเละเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ยังไม่มีหนี้สินมากนักวิกฤตต้มยำกุ้ง หลายคงจำได้ดีเพราะวิกฤตครั้งนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศไทยไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเเละเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะช่วงเวลานั้นบริษัทใหญ่ๆได้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยที่มีความพร้อมในด้านต่างๆประกอบกับเเรงงานค่าเเรงถูกจำนวนมากพร้อมรองรับ ถึงขึ้นมีคำกล่าวว่า "เสือตัวที่ห้าของเอเชีย" ภาพเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้นติดลมบน สินทรัพย์ต่างๆราคาขึ้นอย่างรวดเร็วเเละรุนเเรง เช่น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เครื่องประดับ นาฬิกา การลงทุนช่วงนั้นจึงสามารถให้ผลตอบเเทนที่ดีในช่วงระยะอันสั้น จึงทำให้ภายในประเทศมีความต้องการเงินทุนเป็นจำนวนมากรัฐบาลอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์เปิดบริการวิเทศธนกิจสามารถกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ในประเทศต่อ ดอกเบี้ยในประเทศสูงราว 14-17% ต่อปี สะท้อนภาพความต้องการ จึงเกิดฟองสบู่ขนาดใหญ่ขึ้นมา การกู้เงินมาเพื่อลงทุนไม่ว่าจะเป็นเก็งกำไรที่ดิน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปั่นราคาหุ้น จนกระทั่งถึงจุดที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอตัวบางโครงการขายไม่ออก เเละองค์ประกอบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ต่างลดลง ทำให้เริ่มมีปัญหาการจ่ายชำระหนี้ความเชื่อมั่นในประเทศไทยน้อยลง นักลงทุนต่างชาติ ก็พากันถอนทุนออกจากไทย ขายเงินบาททิ้ง ทำให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างรวดเร็วเเละโดนโจมตีค่าเงินบาทจากกองทุนต่างชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทยเเก้ปัญหาโดยการอุ้มค่าเงินบาทจนเงินสำรองหมดคลังเเละสุดท้ายต้องยอมปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ผู้ที่เป็นหนี้จากการกู้ยืมต่างชาติก็จะเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ทำให้สถาบันทางการเงินล้มละลาย หลายๆบริษัทปิดตัวลง เเละในที่สุดรัฐบาลไทยต้องกู้เงินจาก IMF เพื่อมาเป็นทุนสำรองในคลัง เเละเริ่มนโยบายรัดเข็มขัดในด้านต่างๆ สถาบันทางการเงินเริ่มระวังการปล่อยกู้รักษาสภาพคล่อง โรงงานต่างๆเริ่มเดินเครื่องผลิตตามเดิม จนประเทศไทยสามารถชดใช้หนี้ IMF ได้ในที่สุด เเละฟื้นฟูประเทศกลับมาวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤตครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น ต้นตอของวิกฤตมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศทุนนิยมจนมีคำกล่าวว่า "ระบอบโลกทุนนิยมกำลังสั่นคลอนหรือล่มสลาย" เกิดจากฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะฐานเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเรื่อยๆของประเทศสหรัฐอเมริกามีการสร้างบ้านเเละซื้อขายกันขยายตัวมากขึ้น ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อได้อย่างง่ายดายทำให้มีความต้องการที่อยู่มีเพิ่มมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว ประชาชนที่ไม่เคยมีความสามารถมีบ้านของตัวเองได้กลับมีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยการกู้ จึงทำให้เกิดอาชีพนายหน้าขายบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ชนิดต่างๆ หลายคนที่เปลี่ยนอาชีพมาเป็นนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์เนื่องด้วยมีการได้รับส่วนต่างในราคาที่สูงเเค่มีความสามารถในการกู้ธนาคารเพื่อการซื้อใบจองมาขายต่อ บุคคลที่พวกเค้าได้ขายต่อนั้นบางคนคือลูกหนี้ชั้นเเย่ไม่มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีพอ ในที่สุดจึงเกิดการเบี้ยวหนี้ขึ้นมาในที่สุดเเละหนี้เสียเพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นเท่าตัว เเม้ธนาคารกลางเเห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจะออกนโยบายเพื่อลดความร้อนเเรงของตลาดอสังหาฯ เเต่ก็ได้ผลในช่วงเวลาสั้นๆจนในที่สุดฟองสบู่ลูกนี้ก็เเตกขึ้นเเละทวีความรุนเเรงด้วยการล้มของ สถาบันการเงิน เลห์มัน บราเธอร์ส ผลของมันคือการตกต่ำของตลาดหุ้นทั่วโลกผู้คนที่ทำงานภาคการเงินทั่วโลกได้รับผลกระทบ มีการตกงานเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาเเละทั่วโลก ผลกระทบที่มีต่อประเทศไทย ประเทศไทยได้รับผลกระทบเพียงเเค่ภาคการเงินโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนเเรง เเต่ก็สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมไทยในช่วงเวลานั้นยังเเข็งเเกร่งหากย้อนดูวิกฤตหลายๆครั้งที่ผ่านมาหลายครั้งเกิดจากฟองสบู่ภาคการเงิน เเต่วิกฤตครั้งนี้เกิดจากโรคระบาดซึ่งเเตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมาการกลับมาของสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้ต้องมีการปรับสมดุล มีการล้มหายของบริษัทต่างๆ เพื่อลดอุปทาน หรือที่เรียกกันว่า จุด"ดุลยภาพ"ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตจะมีการปรับเปลี่ยน new normal โลกใบใหม่ จะมีผลดีกับธุรกิจบางอย่าง เเละส่งผลลบกับธุรกิจบางกลุ่มเช่นกันหรือการจะสร้างธุรกิจใหม่จากการปรับรูปแบบชีวิตของผู้คนหลังจากวิกฤตวิกฤตที่เกิดขึ้นได้เตือนให้เราเห็นถึงความสำคัญของเงินเก็บหรือการไม่ก่อหนี้จำนวนมากโดยไม่จำเป็น นักเศรษฐศาสตร์ระดับได้เคยยกตัวอย่างว่า"หากคุณจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกอย่างมีความสุขควรเดินบนทางสายกลาง"คือไม่โลภจนเกินไปจนเกิดฟองสบู่เเต่ก็ไม่ประหยัดเกินไปจนเกิดภาวะเงินฝืด หากเรานึกถึงหลักการที่จะสามารถประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันได้ดีคือหลักการเศรษฐกิจพอเพียง การมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นได้อย่างมีความสุข ภาพปกถ่ายโดย Markus Bürkle จาก Pexels ภาพที่ 1 โดย fernando zhiminaicela จาก Pixabay ภาพที่ 2 โดย WikiImages จาก Pixabay ภาพที่ 3 โดย KH Lim จาก Pixabay ภาพที่ 4 โดย Bárbara Cascão จาก Pixabay