ผมยันตัวลุกนั่งปลายเตียง ตามองออกไปที่แสงลอดทางหน้าต่างตรงต้นไม้ใหญ่ข้างห้อง เช้าอีกแล้ว ชีวิตจริงเริ่มอีกแล้ว นอนต่ออีกนิดเถอะ... ปึง. ปึง. พี่ตื่นหรือยัง ไม่ไปทำงานหรอ 9 โมง ภรรยาเคาะพร้อมบ่นเสียงเข้มหน้าห้องนอน ที่จริงผมแยกนอนกับภรรยามาพักใหญ่ ตั้งแต่ช่วงแม่เริ่มนอนติดเตียง เธอติดเป็นติ่ง series เกาหลี เราก็เลยแยกกันใช้ชีวิตตามสไตล์ ผมเป็นติ่งแม่ อยากอยู่แบบเงียบ ๆ มันก็เปลี่ยนได้ครับ ใช้ชีวิตไปแบบนี้ แล้วคุ้นเคยเป็นอย่างนี้ไปเลย ผมก็กะว่าจะพูดคุยกันหลังงานบุญแม่ แต่เอาเข้าจริงผมชอบชีวิตแบบนี้ นอนคนเดียวนิ่ง ๆ เงียบดีไม่ต้องนอนฟังเสียงกัดกราม กรอด กรอด ของเธอ ผมชอบบ่นในใจ แต่ปิดไม่ค่อยมิด หน้าตาผมจะเล่าตามอารมณ์ ใคร ๆ เค้ารู้จุดนี้ผมดี แย่นะรู้ความคิดเราหมด พอใจ ไม่พอใจ เคยฝืนแต่กลายเป็นโกหก ก็ปล่อยละ ไม่ฝืนธรรมชาติ เราทั้งคู่คงชอบเหมือนกัน อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อน ไม่ขัดกันในสไตล์ของกันและกัน ไม่ทราบครอบครัวไหนเป็นเหมือนเราบ้างนะ ผมยักแย่ยักยัน ลุกไปเปิดประตูห้อง วันนี้ไม่มีงาน ที่จริงมี แต่ผมไม่รับงาน ไม่อยากพบกับการวางแผนแก้ปัญหาเรื่องคนงาน มันจะเป็นไปตามที่คาดไว้แทบทุกครั้ง ใช้แพลนบี แพลนซีตลอด ผมทำงานกับคนญี่ปุ่นนานพอควร ได้อะไรเป็นข้อคิดหลักคิดเยอะ งานต้องละเอียด เป็นไปตามแผนงาน ต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา connection ต้องมาก ตัวช่วยเหลือต้องเยอะ จะว่าไปคนทำงานควบคุมหน้างาน ที่ต้องควบคุมคนหลายภาคส่วน ให้เดินไปในทิศทางเดียวกันได้ ผมให้เครดิต แนวคิดคนญี่ปุ่นเป็นอันดับต้น ๆ ไม่ได้คุยว่าใครเก่งไม่เก่ง แต่คนญี่ปุ่นถูกสอนให้ช่วยเหลือตนเอง ไม่เป็นภาระใคร ขณะเดียวกันต้องสามารถช่วยสังคมส่วนรวมได้ด้วย ว่ากันว่าเห็นเด็ก ๆ แบกเป้ ถือกระติกน้ำ อะไรรอบตัวพะรุงพะรัง ผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว จะไม่เข้าไปช่วยเลย เพราะคนของเค้ามีค่านิยมเรื่องศักดิ์ศรี อดทน และสอนฝึกหัดเรื่องนี้ตั้งแต่ประถมแทบทุกสถาบัน จะไม่มีการลงโทษด้วยการตี แต่จะใช้การไม่ยอมรับในกลุ่มเป็นการลงโทษแทน เมื่อปรับปรุงตัวเองให้ได้แล้ว ทุกคนจะเข้ามาล้อมรอบ ขอโทษกันและให้กำลังใจกัน ผมคิดว่าพื้นฐานแบบนี้เอง ที่อยู่ในสายเลือดของคนญี่ปุ่นแทบทุกคน และจะละอายใจที่ไม่รับผิดชอบต่อชุมชนส่วนรวม จะรีบขอโทษ และแสดงความขอโทษ ถึงขั้นลาออกจากหน้าที่ก็มี บางคนถึงกะต้องย้ายทั้งครอบครัว ออกไปหาที่อยู่คนละตำบลกันเลย แค่เรื่องไม่แยกประเภทขยะ ทำให้เจ้าหน้าที่เทศบาลจะไม่เก็บไปทิ้งให้ ปล่อยประจานหน้าบ้าน ว่าบ้านนี้ไม่รักสุขภาพครอบครัวและสาธารณสุขส่วนรวม ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเรื่องน่าอายมาก นักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ชอบสุขสบายเสรี ลั้ลลา กฎมีไว้เลี่ยง จะต้องปรับการไปใช้สถานที่พักตามกฎหมาย ที่ติดประกาศไว้ในห้องพักอย่างเคร่งครัด ในเรื่องนี้ ถนนบ้านเมืองเค้านี่นอนได้เลย สะอาดจริงมิได้อวยเกินจริง ผมทำงานแบบเรียบร้อย แต่เรียบง่าย แต่อดทนไม่พอที่จะทำงานกับทีม แบบผักชีโรยหน้าสวยงาม แต่ไม่อร่อยแล้วบอกอร่อย บางครั้งเกือบเลือดตกยางออกกับคนงานก็บ่อย เพื่อนเตือนแต่ก็อย่างนั้นแหล่ะ ผมขอบคุณแม่ที่ป่วย ทำให้ผมต้องลาออกมาดูแลท่าน ได้หลีกเลี่ยงปัญหานี้แต่มาพบเจออุปสรรคอย่างอื่นที่ไม่เคยคิด ผมเริ่มปิดกั้นตัวเอง ไม่รับโทรศัพท์ ไม่รับงาน ไม่ออกจากบ้าน หนักขึ้นคือ ผมฟังเพลง ดูทีวี ไม่ได้ เออมันเบื่อชีวิต ถามตัวเองตลอดอยู่เพื่ออะไรชีวิตเรา ผมรู้ตัวนะหรือนี่ที่รู้ กันว่าโรคซึมเศร้า หรือผมเป็นโรคประสาท ผมเป็นแล้วหรือ เหมือนข่าวคนดังที่ทำร้ายตัวเอง ให้จากไปอย่างตั้งใจ ไม่ใช่ ไม่จริง ผมไม่ใช่เป็นคนคิดแบบนั้น ลูกชายผม เค้าเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก (นาน ๆ จะคุยกัน ) พยายามเข้ามาทำทีเป็นถามนู่นนี่ ผมรู้ก็ฝืนยิ้มในไมตรีจิตของลูก บอกพ่อไม่เป็นอะไร แค่ตอนนี้ คงอยากพัก พักอะไรนี่มันแทบจะเรียกว่าขี้เกียจตัวเป็นขนได้แล้วผมนึกในใจ เงินเก็บน้อยลง ลูกค้าติดต่องานก็มีเข้ามาเรื่อยนะ แต่บอกเค้าไปว่าไม่ว่างเลยงานเยอะมาก ผมโกหกตัวเองไปวัน ๆ นี่คือภาวะชุดความคิดบิดเบี้ยว จากหลายปัจจัย ทั้งทางกายวิภาค และพยาธิสภาพ บ่ายวันจันทร์ ผมนอนอยู่บ้านคนเดียว วันนั้นฟ้ามืด ฝุ่นผงลอยเป็นหมอก ผมได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดัง เสียงห่างกันอยู่สองครั้ง ผมลากตัวเองไปดูที่ห้องรับแขกมองไม่เห็นใคร น่าจะเป็นกลุ่มเด็กมือซนผ่านมากดเล่นตามเคย ผมนั่งลง เสียงออดดังขึ้นอีก คราวนี้ผมเดินออกไปดูรู้สึกแปลก ๆ เพราะมองไม่เห็นใคร ผมบิดมือจับประตูเปิดออก แต่มันไม่เปิด ผมบิดและดันแรง ๆ อีกครั้ง มันไม่เปิด ผมถามออกไป ใครครับนั่น ไม่มีเสียงตอบ ผมถามอีก ใคร คงเป็นพวกเด็กแกล้งผมนึก ยังไม่ทันหันหลังจะเดินกลับ ได้ยินเสียงประตูเปิดออก กระแทกรั้วบ้านอย่างแรง เสียงดัง ปั้ง !! ผมเดินไปปิดประตูแล้วก็ทดลองเปิดปิดอยู่หลายครั้ง มันปกติ คงมีอะไรติดบานพับ ผมมองดูก็ไม่เห็นสนิมอะไร เกิดอะไรขึ้นกับประตู ผมเดินกลับเข้าในตัวบ้าน งง ๆ จมูกสัมผัสกลิ่นอ่อน ๆ ที่ผมจำได้ไม่มีวันลืม แม่ แม่ครับ แม่มาแล้ว แม่กลับมาแล้ว ผมดีใจสุด บรรยากาศเหมือนมีลมพัดผ่านตัวผม ขนลุกซู่ทั้งแขน ไม่กลัวแต่ตื้นตันมากกว่า มองไปที่รูปภาพแม่ที่ผนัง ตอนนั้นที่ปลายตาผมเห็นเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหว ผมเดินไปดู ไม่มีอะไรทุกอย่าง ปกติเหมือนอยู่ในภวังค์ น้ำตาไหลอาบ แต่ไม่รู้สึกว่าจะเสียใจหรือดีใจ จุกที่คอ อะไรอธิบายไม่ถูก รู้ว่าผมอยากไปพบแม่ ในหัวเริ่มวางแผน แต่กลับมีภาพลูกเมีย มันสลับไปมา ผมใจลอยเดินไปที่ห้องแม่ นั่งบนเตียง แล้วกราบลง อธิษฐานในใจว่า คอยผม ผมกำลังไปหาครับแม่ ผมเปิดลิ้นชักโต๊ะในห้องนั้นค้นหากระดาษเขียนถึง ลูกเมีย และบอกลาสั่งเสียเรื่องต่าง ๆ เขียนไปร้องไป คราวนี้รู้สึกเศร้ามาก สะอึกสะอื้นน้ำตาหยดเป็นน้ำรั่ว ระหว่างนั้นนึกขึ้นมาได้ว่า ได้อุทิศร่างกาย อวัยวะทุกส่วนที่ใช้ได้ เป็นวิทยาทานแก่สภาแห่งหนึ่งไว้ เอ เราจะโทรบอกเค้าดีหรือไม่นะ ... ? เพราะอาจมีอวัยวะบางส่วน ทันเวลาจะเป็นประโยชน์ได้ หรือการทำแบบนี้ อาจไม่เข้าข้อกำหนดในการนำมาใช้ เค้าจะห้ามปรามการกระทำนี้กับเราแน่ และแผนที่ตั้งใจไว้จะไม่สำเร็จ ผมไม่โทรเดินกลับมาที่ห้องเก็บของ เตรียมทุกอย่างที่คิดไว้ ขออนุญาตผู้อ่านไม่เขียน ข้ามเลยแล้วกันแต่ขอบอกเลยในวินาทีสุดท้าย จิตจะสับสนวุ่นวาย มีภาพปรากฎมากมาย จุกและเจ็บจนชา เหมือนขันธ์ทั้ง 5 จะแตกเป็นเสี่ยง รู้สึกแบบนั้น ผมได้ยินเสียงแม่เรียกชื่อสองครั้ง และครั้งที่สามห่างกันอีกนิดแต่ดังมาก " อย่าทำ " ผมสะดุ้ง โครม พัดลมฝ้าพร้อมกับอุปกรณ์ที่ผูกยึดโยง แผ่นฝ้าเพดานหล่นตกลงมา สติ !! กลับมาครับผมมึนงงกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตัวผมนิ่งนอนหงาย ตาลืมโพลง กลอกตาไปมา ดู ทำไมเราอยู่ในห้องนอน เหงื่อโทรมตัว มันเป็นแค่ฝันร้าย ทั้งหมดมันไม่เป็นความจริง เป็นความฝันที่เหมือนจริงที่สุด ผมจำได้ ที่โรงพยาบาล ภรรยาพาผมมาพบหมอแผนกจิตเวช ผมนั่งซึมมองรอบ ๆ ที่หน้าห้องตรวจมีผู้ป่วยอาการไม่แตกต่างกันผมรู้สึกได้ พยาบาลเชิญพบหมอ หมอท่านดูจิตใจดี ยิ้มแย้ม คำถามแรกของหมอไม่เกี่ยวกับสุขภาพเลย ชวนคุยเรื่องราวที่ผมชอบ เรื่องราวของสะสม มันทำให้ผมเพลิน สบายใจ เหมือนได้ระบายได้คุยกับเพื่อนสนิทที่ไม่พบกันมานาน เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เป็นครั้งแรกที่กาลครั้งหนึ่งผมเคยเป็น คุณหมอนัดพบอีกสองสัปดาห์หน้า ให้ยามาทานสองชนิด ทราบว่าเป็นยาช่วยคลายกังวล และยาช่วยการนอนหลับให้ดีขึ้น สองสัปดาห์ผ่านไป กลับมาพบแพทย์ตามนัด หมอเริ่มถามอาการทั่วไป การพักผ่อนนอนหลับดีขึ้นมั้ย ผมรู้สึกดีขึ้นนะ แต่ใจยังวนเวียนเรื่องฝันร้ายครั้งนั้นไม่หาย ซ้ำร้าย หูผมจะได้ยินเสียงทุกอย่างดังกว่าปกติ กลายเป็นประสาทรับรู้อะไร ๆ มันเร็ว แค่นอนอยู่แล้วลูกกลับบ้านมา บิดกลอนประตูเข้าบ้าน โสตเสียงจะปลุกผมทันที ผมต้องใช้ยางอุดหูขณะนอน มันหงุดหงิดหลับ ๆ ตื่น ๆ จะหลับอีกก็ยาก ผมเล่าให้หมอฟัง คุณมีภาวะอาการซึมเศร้าครับ หมอพูด ท่านอธิบายถึงอาการป่วยของโรคนี้ และบอกว่ามีลำดับการรักษาที่แตกต่างกันในแต่ละคน ตามผลกระทบสะสมตั้งแต่วัยเด็ก พฤติกรรมตอบสนองต่อตัวเองและสังคม หลอมความคิดจนเป็นนิสัยเฉพาะตัว ส่งผลต่อสารสื่อประสาทในที่สุด ต้องรับยารักษาตัวจริงแล้ว อ้าวก็ครั้งแรกคุณหมอให้ยาไม่จริง ใช่ครับ คุณหมอตอบ ยาทดสอบอาการโรค เพราะบางรายอาจจะยังไม่จำเป็นต้องใช้ยาต่างชนิดกันครับ คุณหมอนัดพบห่างกันอีก 30 วัน ผมเข้าออกเพื่อรักษาโรคซึมเศร้าที่โรงพยาบาลครบสิบแปดเดือนในวันนี้พอดีครับ คุณหมอเป็นผู้ฟัง มาพักใหญ่แล้วครับ ผมพูดเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงานที่ผมทำงานออกแบบที่บ้าน ตามคำแนะนำของหมอ Work From Home ขอบคุณครั้งที่สองที่ได้เป็นโรคนี้ ส่วนตัวครับ (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) ที่เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ฝึกซ้อมการทำงานที่บ้าน ในยุคปัจจุบันนี้ จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในห้องตรวจ คุณหมอฟังผมจ้อไม่หยุด แล้วบอกข่าวดีกับผม คุณเข้าสู่ภาวะปกติครับ “หยุดยาได้แล้วนะครับ เหลือเม็ดสุดท้ายพอดี...” อีกแปดสัปดาห์พบกัน ผมยิ้มกว้างนึกถึงครอบครัวและคุณแม่ ในหัวตอนนี้มีแต่ภาพแห่งความสุข ที่ปรากฏอยู่รอบจิตสำนึกผม "ลาก่อน ยาเม็ดสุดท้าย....." ผมขอบคุณในพระคุณของแม่ ที่มาให้สติและครอบครัวที่รักกัน. ;)) ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน. ขอบคุณทุกท่านครับ ตาคำ