ถึงสนามบินพาโร พอลงจากเครื่องก็เข้าอาคารผู้โดยสาร ผ่านพิธีการต่างๆ ซึ่งไม่ยุ่งยากมากนัก มีเครื่องบินลำเดียวที่ลงช่วงนี้ ขั้นตอนต่อไปก็ไปแลกเงิน ใช้เงินบาทแลกได้เลยครับ อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ผมไปเพื่อสะดวกในการคิด หนึ่งบาทจะได้ 2 ดรุ๊กยุล ผมแลกไปสองพันบาท ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่เกิน ห้าพันบาท เพราะถ้าใช้ไม่หมดจะมีปัญหาในการแลกคืน การแลกคืนต้องใช้ใบเสร็จรับเงิน แต่การที่จะออกใบเสร็จรับเงินสำหรับการแลกเงินนั้น จะออกให้กับผู้ที่ดอลล่าร์แลกเท่านั้น จริงๆ การซื้อของในภูฏานก็สามารถใช้เงินบาทได้เลย นอกจากร้านเล็ก ๆ เท่านั้น ต่อไปก็จัดการเรื่องซิมสำหรับมือถือ ที่นี่จะมีสองค่าย แต่ทั้งสองค่ายใช้งานได้ยากมาก ที่สนามบินจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากนิดหน่อย ซื้อกับไกด์จะสะดวกกว่า แต่การใช้งานเหมือนกัน แล้วแต่อารมณ์ WiFi จะมีให้ใช้ที่โรงแรม เมื่อออกจากสนามบินก็มาขึ้นรถมินิบัส แบ่งกรุ๊ปกันไป กรุ๊ปละ 14 คนต่อคัน กระเป๋าสัมภาระแยกไปกับรถบรรทุกอีกคัน รถทุกคันที่มีนักท่องเที่ยวจะต้องมีไกด์ชาวภูฏาน 1 คนต่อหนึ่งคันรถ การบรรยายทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ พอทุกคนนั่งที่เรียบร้อยและเต็มคันแล้ว ไกด์ก็จะนำผ้าไหมสีขาว ขนาดผ้าพันคอบ้านเรา มาคล้องคอให้คนละ 1 ผืน เป็นธรรมเนียมการต้อนรับแขกคนสำคัญของชาวภูฏาน ผ้าพันคอที่ได้รับนี้ จะเก็บไว้ก็ได้ หรือจะนำไปบูชาพระตามวัดต่างๆ ก็ได้ วันนี้วันแรกจะเป็นสถานที่ ที่ไม่ลำบากมาก จุดแรกคือพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเมืองพาโล หลักๆ ก็จะเป็นหน้ากาก ถาพเขียน ภาพพระราชกรณียกิจ ใกล้ๆ ก็จะมีตาซอง ซองจะเป็นป้อมปราการ เราจะเห็นซองอยู่ทั่วไปใหญ่บ้างเล็กบ้าง หลังจากทานอาหารเที่ยง ที่พอกินได้ เราก็ไปต่อกันที่วัดคิชู วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูฏาน มีอายุ 1,300 ปี สร้างมาตั้งแต่ภูฏานยังอยู่ภายใต้การปกครองของธิเบต วัดที่สร้างพร้อมกันมี 108 แห่ง ไล่มาตั้งแต่เทือกเขาหิมาลัย สร้างตามจุดสะกดของยักษ์ตนหนึ่งที่นอนขวางการประกาศธรรม วัดนี้สร้างตรงเข่าข้างซายของยักษ์ จุดเด่นของวัดนี้จะมีวิหารโบราณ และรอยบุ๋มบนพื้นกระดาน 8 แห่ง ที่เป็นร่องรอยของความศรัทธาของคนมากราบไหว้ เขาจะกราบด้วยอัษฎางคประดิษฐ์(คือใช้ร่างการแตะพื้นทั้ง 8 จุด) ตามรายการของวันแรกก็จะจบเพียงเท่านี้ แต่ในระหว่างทางไปที่พัก ก็จะผ่านป้อมสวยๆ หลายป้อม เราคนไทยพึ่งมาถึงภูฏานเป็นวันแรก ก็จะตื่นตาตื่นใจกันมาก ขอหยุดรถเพื่อถ่ายรูปกันตลอด โดยเฉพาะลำธาร น้ำที่นี่จะใสมากเพราะเป็นน้ำที่มาจากการละลายของหิมะที่เทือกเขาหิมาลัย ผมพยายามมองหาปลาว่าปลาที่นี่หน้าตาจะเป็นอย่างไร แต่ไม่มีสักตัว ถามไกด์ถึงเข้าใจว่าน้ำมันเย็นจัดจนปลาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ วันแรกขนาดว่าเป็นการเดินธรรมดาไม่ได้ขึ้นเขามาก อย่างเก่งก็แค่เป็นเนินเตี้ยๆ แต่เหมือนกับผมเหนื่อยมาก หายใจไม่ทัน หายใจเข้าไปก็ไม่เต็มปอด อาการเหมือนเราจะหยุดหายใจ ซึ่งหลายคนก็มีอาการคล้ายๆ กัน ไกด์คนไทยซึ่งไปอยู่บัสคันไหนมาก็ไม่รู้พึ่งจะได้เจอกันตอนจะเข้าโรงแรม เขาบอกอาการอย่างนี้เรียกว่า "ซ้อมตาย" ก่อนตายจริงในวันพรุ่งนี้ วิธีแก้คือให้ทำอะไรให้ช้าลง หายใจเข้าลึก ๆและหายใจออกทางปาก แต่ส่ิงที่เป็นปัญหาที่สุดในวันแรกคือหู จากผมบอกไว้แต่แรกไกด์จะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งผมอ่อนภาษามาก กว่าจะรู้ว่าเขาพูดอะไรก็นึกแล้วนึกอีก แต่ดูเหมือนเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคอะไรกับภรรยาผม ตอนเขาพูดเรื่องโจ๊กเธอก็หัวเราะกับเขา เขาบรรยายเธอก็พยักหน้า พอผมให้เล่าให้ฟังหน่อย คุณเธอบอกหัวเราะเอาใจไกด์ ไม่เข้าใจหรอก แต่การพูดเธอเก่งกว่าผมมาก อยากพูดอะไรก็พูดทั้งไทยทั้งอังกฤษทั้งมือปนกันไปหมด แต่ไกด์กับเธอก็เข้ากันได้ดีและพูดกันรู้เรื่อง สังเกตุจากการที่ไกด์ชอบมาคุยกับเราสองคนมากเป็นพิเศษ วันแรกเพียงแค่ซ้อมตาย ผมก็เหมือนจะตายจริงๆ วันพรุ่งนี้ผมจะรอดไหมครับ