ภัยจากน้ำตาลกับเทรนด์ทางเลือกทดแทน เรื่อง/ภาพโดย โซฟาสีขาว เครดิตภาพปกจาก pixabay เครดิตภาพ pixabay ตามที่ได้รู้กันอยู่แล้วว่าการกินน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรคอ้วน เสี่ยงเกิดสิว ทำให้เซลเสื่อมสภาพ เสี่ยงไขมันพอกตับ และเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง ปริมาณน้ำตาลที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม/วัน ในขณะที่คนไทยบริโภคน้ำตาลอยู่ในระดับสูงมาก คือมากกว่า 20 ช้อนชา/วัน ปัจจุบันผู้บริโภคชาวอเมริกันหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นโดยบริโภคอาหารและ เครื่องดื่ม ที่มีน้ำตาลลดลงอย่างมาก ทางเลือกการทดแทนผลิตภัณฑ์แทนความหวานที่ให้พลังงานต่ำ คือ น้ำตาลอัลกอฮอล์ และสารให้ความหวานธรรมชาติ เช่น 1. ผลิตภัณฑ์จาก หญ้าหวาน (Stevia) เป็นสารให้ความหวานธรรมชาติที่นิยมเนื่องจากทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้มีการรับรองไว้ และให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 200-300 เท่า ไม่ให้พลังงาน (-100 % เทียบกับน้ำตาล) 2. ไซลิทอล (Xylitol) เป็นน้ำตาลอัลกอฮอล์ ใช้ให้ความหวานเพื่อทดแทนน้ำตาล ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ พบได้ในผัก ผลไม้หลายชนิด ไซลิทอลใช้ในทางการแพทย์เป็นอาหารทางสายของผู้ป่วย ให้ความหวานเท่าน้ำตาลและให้พลังงานต่ำกว่า (-40 % เทียบกับน้ำตาล) 3. น้ำตาลอิริทริทอล (Erythritol) เป็นน้ำตาลอัลกอฮอล์ สกัดจากข้าวโพด และมันฝรั่ง ให้ความหวานน้อยกว่าน้ำตาลแต่ให้พลังงานต่ำ (-95 % เทียบกับน้ำตาล) 4. น้ำเชื่อมบัวหิมะ (Yacon Syrup) ความหวานจากธรรมชาติ ได้จากบัวหิมะซึ่งเป็นพืชในตระกูลทานตะวัน พบในอเมริกาใต้ 5. น้ำตาลจากมะพร้าว ความหวานจากธรรมชาติที่ผลิตจากสายพันธุ์ของต้นดอกตูมของต้นมะพร้าว 6. น้ำผึ้ง ให้ความหวานจากธรรมชาติ 7. ผลิตภัณฑ์จาก หล่อฮั่งก้วย (Monk Fruit extract) เป็นสารให้ความหวานธรรมชาติ ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 150-300 เท่า และไม่ให้พลังงาน (- 100 % เทียบกับน้ำตาล) หญ้าหวาน เครดิตภาพ pixabay น้ำผึ้ง เครดิตภาพ pexels การหันมารักสุขภาพที่ทำให้พฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลที่เปลี่ยนไปของชาวอเมริกัน ทางภาคเอกชนสหรัฐยังสนับสนุนการผลิตสารให้ความหวานที่หลากหลายเพื่อเป็นทางเลือกให้อีกด้วย นอกจากนั้นในต่างประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไอร์แลนด์ สเปน ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศ มีการเก็บภาษีความหวานก่อนหน้าประเทศไทย ส่วน ไทยมีการเริ่มทยอยเก็บภาษีความหวานแล้ว และมีการปรับอัตราภาษีความหวานเป็นอัตราก้าวหน้าส่งผลให้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหลายตัวขยับราคาสูงขึ้น แต่การที่อุตสาหกรรมมีการออกเครื่องดื่มประเภท “ ซีโร่ ชูการ์” หรือ “ โลว์ ชูการ์” น่าจะช่วยในด้านสุขภาพได้ดีกว่าการขึ้นภาษีความหวานแต่เพียงอย่างเดียวหากผู้บริโภคยอมจ่ายและยัง ต้องรับภาระราคาที่สูงขึ้น จากกระแสคนรักสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก ปัจจุบันในไทยก็มีร้านอาหารเพื่อสุขภาพไร้น้ำตาลอย่าง “Club No sugar Ketogenic” หรือ “Almond ร้านอาหาร ไม่แป้ง ไม่ชูรส ไม่น้ำตาล ” บางคนทำอาหารมากินเองที่ทำงานสามารถลดปริมาณน้ำตาลหรืออาจใช้สารทดแทนซึ่งทำได้ก็จะดีที่สุด เมื่อรู้ถึงภัยของการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไป ก็ลองมาปรับพฤติกรรมการกินโดยเริ่มจากการกินผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ ซึ่งก็มีความหวานตามธรรมชาติอยู่แล้ว กินกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล หรือหลีกเลี่ยงขนมหวาน เชื่อว่าเทรนด์การใช้สารทดแทนน้ำตาลคงจะเป็นทางเลือกสำหรับคนขาดหวานไม่ได้ อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสหรัฐ ฯ