สารภาพเลยว่า แมวเหมี๊ยวรู้จักฟรีด้าครั้งแรกจากหนังสือเรื่อง "ฟรีด้า" ด้วยภาพปกที่ดึงดูดสายตาพอได้เปิดอ่านเรื่องราวของเธอยิ่งดึงดูดหัวใจ ชีวิตของฟรีด้าน่าทึ่งมาก วันนี้จึงอยากจะแชร์เรื่องราวของฟรีด้าให้คนที่ยังจะไม่เคยรู้จัก หรือรู้จักผ่านๆมาให้ดูว่าหัวใจของเธอน่ายกย่องแค่ไหน และคุณจะรู้สึกมหัศจรรย์กับผู้หญิงคนนี้มากขึ้น ฟรีด้าเป็นศิลปินหญิงในยุคเม็กซิกันเรอเนซองส์ (1920-1950) เธอสามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดในชีวิตมาเป็นงานศิลปะที่สวยงามและจัดจ้านบนผืนผ้าใบ "ฉันไม่วาดภาพจากจินตนาการ ฉันวาดชีวิตจริงของฉันเอง"จึงทำให้ภาพวาดของฟรีด้าเป็นภาพที่มีสไตล์โดดเด่น ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบในทุกยุคทุกสมัย( ที่มาของภาพ : matichonweekly.com) ฟรีด้า เป็นหญิงหน้าคม คิ้วดำเข้มมีไรหนวดบางๆ ผมของเธอก็ดำขลับ เธอโปรดปรานการโพกผ้าและแซมดอกไม้ที่ศรีษะ ฟรีด้าจะชอบแต่งชุดเทฮัวนาสีสดใส และเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างภายใต้ความสดใสนั้น .. เธอเป็นโปลิโอ ... ฟรีด้าพบว่าตัวเองเป็นโปลิโอตอนอายุเจ็ดขวบ ขาของเธอลีบเล็ก และไม่เท่ากันทำให้รองเท้าของเธอต้องออกแบบต่างจากคนทั่วไปรองเท้าบางคู่ถูกตัดเอาหัวรองเท้าออก เพราะจะทำให้เธอเดินเหินได้สบายและบางคู่จะมีระดับความสูงไม่เท่ากัน เพื่อที่จะรองรับขาขวาที่เป็นโปลิโอได้ (ที่มาของภาพ : collectorsweekly.com) ความเจ็บปวดที่สะท้อนบนงานศิลปะ ฟรีด้าในวัยสิบแปดปี อุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงเธอไปตลอดชีวิต ขณะที่ฟรีด้าและคนรักนั่งรถบัสเพื่อกลับบ้านโชคร้ายที่รถรางและรถประจำทางที่เธอนั่งประสานงากันอย่างจัง ฟรีด้ากระเด็นลงมานอนที่พื้นถนนมีแผ่นเหล็กเสียบอยู่ที่ท้อง เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกสันหลังแตก กระดูกเชิงกรานร้าว ไหปลาร้าแตกกระดูกเท้าขวาถูกบด ส่วนแผ่นเหล็กที่เสียบตรงท้อง คือราวเหล็กบนรถประจำทาง ส่งผลให้เธอไม่สามารถมีลูกได้อีกเลยทำให้เธอต้องสวมคอร์เซ็ตตลอดเวลาที่เธอมีชีวิตอยู่ ช่วงเวลาที่เธอนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงเมื่อพ่อของฟรีด้าได้หาทางเยียวยาจิตใจลูกสาวด้วยอุปกรณ์การวาดภาพเพื่อหวังว่ามันจะช่วยเยียวยาหัวใจให้เธอได้และหลังจากที่อุบัติเหตุครั้งนั้นเธอได้เปลี่ยนความคิดที่จะเป็นแพทย์มาเป็นศิลปิน(ที่มาของภาพ The Accident, 17 September 1926 : worldhistoryproject.org) (ที่มาของภาพ corset : collectorsweekly.com) เมื่อฟรีด้าต้องพบความเจ็บปวดบนร่างกายแล้ว เธอยังต้องพบกับความเจ็บปวดทางจิตใจเพิ่มเข้าไปอีก ฟรีด้าวาดภาพเหมือนของเธอเพื่อใช้ง้อแฟนหนุ่มให้กลับมาคืนดี หลังมีทีท่าระหองระแหงกันและเขาก็กลับมาหาเธอจริงๆ แต่เหมือนสายฟ้าฟาดอีกครั้งเมื่อพ่อแม่ของคนรักกลับส่งเขาไปยุโรปทำให้ทั้งคู่ต้องเลิกรากันแบบจริงจัง (ที่มาของภาพ Self Portrait in a Velvet Dress : fridakahlo.org) เวลาผ่านไปร่างกายของฟรีด้าเริ่มดีขึ้น เธอไม่ต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง เธอเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้งงานศิลปะของเธอยังคงถูกถ่ายทอดออกมาเรื่อยๆ เธอเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่มีผลงานออกมาและ ดิเอโก ริเบรา ศิลปินชาวเม็กซิกันร่างใหญ่ ก็ชื่นชอบผลงานของเธอเป็นอย่างมากและเขาก็เป็นคนแนะนำในเรื่องของอาชีพศิลปินให้แก่เธอ ความรักผลิบานจนทั้งคู่แต่งงานกันท่ามกลางความไม่พอใจของครอบครัวฝ่ายหญิง เพราะด้วยอายุและขนาดตัวที่ต่างกัน(ดิเอโก อายุ 42 ปี สูง 186 เซนติเมตร หนัก 136 กิโลกรัม และฟรีด้า อายุ 22 ปี สูง 160 เซนติเมตร หนัก 44.5 กิโลกรัม) (ที่มาของภาพ Frida Kahlo and Diego Rivera on their wedding day, August 21, 1929 : fridakahlojourney.com) ชีวิตหลังแต่งงานของฟรีด้าและดิเอโก ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ทั้งคู่เป็นคนอารมณ์ร้อนและ ต่างฝ่ายต่างมีชู้ ดิเอโกขึ้นชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงมาก่อนแต่งงานแล้ว ส่วนฟรีด้าก็เป็นไบเซ็กชวลทั้งคู่ต่างหลับนอนกับคนอื่น แต่การนอกใจครั้งไหนก็ไม่แทงใจมากเท่ากับตอนที่ ดิเอโกไปมีอะไรกับ "คริสติน่า" น้องสาวในไส้ของเธอเอง แต่ภายหลังทั้งคู่ก็กลับมาแต่งงานกันอีกครั้ง“ ในช่วงชีวิตของฉันเจออุบัติเหตุร้ายแรงอยู่ 2 อย่าง หนึ่งคือการต้องอยู่บนรถเข็น สองคือดิเอโก และดิเอโกนั้นเลวร้ายที่สุด” ความเจ็บปวดนี้ถูกบรรเลงลงบนภาพ Memory, the Heart (1937) ที่เป็นภาพที่มีชื่อเสียงอีกภาพ รูปวาดที่รวมความรู้สึกแตกสลาย เสียใจ และผิดหวัง (ที่มาของภาพ Memory, the Heart (1937) : pedagosaurius.blogspot.com) นอกจากปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังแล้ว ฟรีด้ายังมีปัญหาสุขภาพอีกมากมาย และเมื่อพ่อของเธอเสียชีวิตทำให้เธออยู่ในภาวะซึมเศร้า และเธอต้องกลับมาอยู่บนเตียงอีกครั้ง ซึ่งช่วงเวลาที่เธอป่วยเธอก็สร้างสรรค์งานศิลปะไม่หยุดหย่อนโดยมีดิเอโก สามีของเธอก็เป็นคนจัดแสดงงานศิลปะของเธอ และอยู่กับเธอจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต และรูปสุดท้ายของฟรีด้า เป็นรูปที่เธอวาดก่อนจะเสียชีวิตแปดวัน คือ Viva La Vida, 1954เป็นภาพวาดแตงโม หมายถึง Day of the Dead (ตามวัฒนธรรมเม็กซิกัน) ช่วงที่วาดภาพนี้ต้องเสียขาขวา เพราะเนื้อตายเน่า และกำลังทรมานจากโรคอื่น เธอเขียนในไดอารี่ไว้ว่า“ฉันรอการจากไปอย่างเปี่ยมสุข และหวังว่าจะไม่กลับมาอีก”และข้อความ ‘Viva La Vida’ หรือ ‘ชีวิตจงเจริญ’ ก็ถูกเขียนลงบนภาพวาดแตงโมสีแดงสด ที่ถือเป็นผลไม้ของคนตาย ฟรีดาได้สร้างสรรค์งานศิลปะเป็นจำนวนทั้งสิ้น 143 ชิ้น ซึ่งแต่ละภาพก็จะสะท้อนถึงความรู้สึกของฟรีด้า ที่ต้องพบกับความเจ็บปวดมาตลอด โดยเธอได้แสดงมันออกมาบนงานศิลปะที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำ ปัจจุบันผลงานและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของฟรีด้าได้ถูกจัดแสดงที่ "บ้านบลูเฮาส์" หรือ "พิพิธภัณฑ์ฟรีดา คาห์โล" ตั้งอยู่ที่เมือง Coyocan ซึ่งเป็นย่านศิลปินในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ซึ่ง "บ้านบลูเฮาส์" นี่เองที่เป็นเป็นสถานที่ที่ฟรีด้าเกิด อาศัย และเสียชีวิต (ที่มาของภาพ Museo Frida Kahlo : i2.wp.com) ตัวอย่างผลงานที่ขึ้นชื่อของฟรีด้า(ที่มาของภาพ Autorretrato con Collar de Espinas (Self-Portrait with Thorn Necklace and Hummingbirdis) ปี 1940 : thebrianmcdermottband ) ชีวิตของเธอได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ อีกด้วย ถ้าใครอยากรู้จักชีวิตเธอมากขึ้นลองไปหามาดูกันได้ ... เรียบเรียงข้อมูลจากcollectorsweekly.comminimore.comvsegdaseason.ruthematter.copantip.combecommon.co/culture/diego-and-frida