เมื่อใดที่เราบ่นถึงเมืองที่เราอยู่ นั่นแสดงว่าเรากำลังคิดอยากพัฒนามัน แต่อะไรที่ทำให้เราได้แต่บ่นถึงสิ่งแย่ๆ และเปรียบเทียบกับสิ่งดีๆ ของเมืองที่เราไม่ได้อยู่ คำถามที่เราคิดผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตในวิถีทางที่เราได้ใช้มันในวันๆ ได้ให้คำตอบอะไรแก่เราถึงทำให้คำถามเหล่านั้นกลายเป็นเพียงคำบ่นที่ไว้ใช้นินทาผู้บริหารบ้านเมือง อะไรกันที่ทำให้เราออกห่างอย่างลอยตัวเหนือปัญหาที่เราเจออยู่ทุกวันทุกคืน ความชาชิน หรือว่าหมดหวังกับมันแล้วหรือ แต่นั้นก็อาจจะยังไปไม่สุดทาง หากว่าเรายังไม่เคยสำรวจมันอย่างจริงจัง ว่ามีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมมองของเราหรือไม่ อย่างไร และจะทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนาเมืองที่เราอยู่ให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยเมืองกับฅน ฅนอยู่ได้ หากินได้เชื่อว่า ในปัจจุบันนี้เราทุกฅนเกิดมาก็รู้จักคำว่า "เมือง" กันหมดทุกๆ ฅน แต่ คำว่า "เมือง" ที่เราใช้กันนั้นมันมีความหมายที่สัมพันธ์กับ “ฅน” เช่น ฅนเมือง ที่สื่อถึงฅนในตัวจังหวัด ฅนในเมืองหลวง หรือแม้แต่ฅนอยู่อาศัยในถิ่นที่มีความเจริญ คำว่า เมืองนั้นสร้างการแบ่งแยกฅนออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่คำว่า "เมือง" กลับสะท้อนถึงพื้นที่ที่มีปฏิสัมพันธ์ของฅนออกมาอย่างมีความหมายที่สอดคล้องกัน ความเป็นเมืองจึงจำเป็นจะต้องมีฅน และการจัดสรรพื้นที่และที่ว่างก็เพื่อฅน เพื่อการรวมกลุ่มกันของฅน ทั้งเรื่องของการงานหาเลี้ยงชีพ การอยู่อาศัย ไปถึงการพักผ่อน ซึ่งต่างมีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทต่างๆ ดังที่เห็นอยู่ทุกวันนี้เมืองจึงยึดโยงกับฅนอย่างแยกออกจากกันไม่ออก และด้วยฅนนั้นมีความหลากหลาย เมืองจึงพัฒนาภายใความแตกต่าง ความหลากหลาย ความเหลื่อมล้ำ และโอกาส เมืองจึงเป็นพื้นที่ของฅน ดังนั้นการรับรู้ข้อจำกัดของฅนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ แต่ด้วยเราและผู้บริหารเมืองอาจจะยังคงจมอยู่กับความคิดที่มีพื้นฐานจากข้อจำกัดเดิมๆ หรือเปล่า ด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป จำนวนฅนที่เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองที่เพิ่มมากขึ้น การบริหารจัดการทรัพยากรจึงไม่อาจจะเพียงพอ หรือแม้แต่การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ต่างผลักดันให้เกิดปัญหาที่ค้างคาอยู่มากมาย และรอเวลาที่จะโผล่ขึ้นให้หงุดหงิดรำคาญใจเสมอ เช่น ปัญหาน้ำท่วม/รอการระบายซึ่งเกิดขึ้นในหลายๆ เมืองของประเทศไทย ทั้งกรุงเทพฯ พัทยา โคราช และหาดใหญ่ เป็นต้น ปัญหาขยะล้นเมือง ไปจนถึงอุบัติเหตุบนท้องถนน ทางเท้า/ฟุตบาท อาหารไม่ได้คุณภาพ และปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเหล่านี้เกิดจากการมองข้ามข้อจำกัดในประเด็นต่างๆ ทั้งสิ้น ‘การพัฒนาเมืองจึงจะต้องมองฅนด้วยฅน เพื่อฅน และทุกกลุ่มมีส่วนร่วม’ เพราะฅนหนึ่งฅนมองเห็นฅน แต่ไม่อาจเห็นได้ครอบคลุมถึงทุกความแตกต่างหลากหลายของฅน เมืองจึงเสมือนเป็นเวทีสร้างพื้นที่เชื่อมโยงให้กับฅนทุกฅน แต่เมืองนั้นปก็ประกอบไปด้วยทั้งฅนที่มีตัวตน (เช่นฅนทำงานออฟฟิต ผู้บริหารองค์กร ฯลฯ) และฅนที่ถูกทำให้มองไม่เห็น (เช่น ผู้ใช้แรงงาน ผู้ให้บริการ/บริกร ไปถึงหาบเร่แผงลอย เป็นต้น) ซึ่งทั้งสองกลุ่มต่างอยู่ในพื้นที่ และทำงานตามหน้าที่ของตน เมืองนั้นจะตอบโจทย์ตามวิถีชีวิตของฅนเมืองทุกกลุ่มให้ได้อย่างไร เมื่อมีทั้งกลุ่มฅนที่เห็นและมองไม่เห็น ยังไม่รวมถึงการรบรู้เพียงข้อจำกัดเดิมๆ ของเมืองอีก การพัฒนาเมืองจึงเป็นไปในทิศทางที่ผิดฝาผิดตัว เพราะว่าเอาแต่เพียงหาว่าใครกันแน่ที่เป็น “ฅนเมืองตัวจริง” จนฅนเมืองไม่เห็นว่าปัญหาของตนได้ถูกการแก้ไขแต่อย่างใด ปัญหาต่างๆ เหมือนถูกเก็บไว้ใต้พรม เราเหยียบเดินผ่านมันทุกวันจนเคยชินกับมัน จนไม่คิดแก้ไข แต่เมื่อใดที่ทำให้เกิดความลำบาก หรือมีผลกระทบใดๆ ขึ้น ดั่งเดินสะดุดพรม เราก็จะออกมาบ่นถึงปัญหา และเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบเพื่อออกมาแก้ไขเมื่อปัญหาของเมืองต่างถูกทับถมมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด แม้ว่าฅนจะอยู่ได้ แต่ไม่อาจจะรู้สึกมีความสุข ปลอดภัยในเมืองอย่างแท้จริง ความคิดอยากพัฒนาเมืองน่าอยู่ ที่มีทั้งความสุข และความปลอดภัยจึงเป็นเพียงความฝันของฅนเมืองทุกๆ ฅน รวมทั้งผู้บริหารเมืองก็ต้องคิดเช่นเดียวกัน แต่อะไรที่ทำให้เมืองที่ฅนอยู่ได้ หาเลี้ยงชีพได้ จึงไม่ทำให้ฅนมีความสุขและปลอดภัยได้จริงๆ และทำให้อยากออกจากเมืองของตนเองไปอยู่ในเมืองที่ไม่เคยอยู่ และหวังว่า มันจะเป็นอย่างที่ฝันเอาไว้เมืองของฅนเดินได้ เดินดีเมืองอย่างกรุงเทพมหานครนั้นมีวิวัฒนาการที่ถูกแบ่งตามระบบขนส่งได้ ๓ ระยะด้วยกันก็คือ คลอง (เรือ) ถนน/ทางด่วน (รถ) และราง (รถไฟฟ้า) ซึ่งด้วยวิธีการเดินทางเหล่านี้ได้ช่วยเชื่อมต่อเมืองในจุดต่างๆ ให้เกิดพื้นที่ หรือย่านต่างๆ เพื่อการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และพัฒนาเศรษฐกิจ นำความมั่งคั่ง ความเจริญมาสู่เมือง มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ฅนที่มีความแตกต่าง หลากหลายมาเจอกัน และมีโอกาสทางสังคม ฅนต่างได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน(1) และเมื่อวิวัฒนาการของการเดินทางมีความรวดเร็วเข้ามากขึ้น(2) ให้สอดรับกับการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ แข่งขัน ฅนเราจึงเห็นกันน้อยลง และละเลยสิ่งรอบกายไป ด้วยรถที่วิ่งเร็วทำให้เราได้รับรู้ถึงปัญหาของถนนได้น้อยลง เช่นเดียวกันกับเมื่อฅนเมืองเดินกันน้อยลง ก็ยิ่งทำให้เราออกห่างจากการมีปฏิสัมพันธ์กับฅน พื้นที่ และสิ่งต่างๆ มากขึ้นทุกๆ ที เพราะเราไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทักทายกัน นักวิชาการเกี่ยวกับเมืองได้กล่าวถึง "เมืองเดินได้ (Walkable city) ไว้ว่า เมื่อฅนได้เดิน ก็จะนำสิ่งดีๆ มาให้กับเมือง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อฅนเดินก็จะทำให้สุขภาพดี เมื่อสุขภาพดีฅนก็จะช่วยกันพัฒนาเมืองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยกันพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งด้วยลักษณะทางสรีระศาสตร์เมื่อฅนเดินตามปกติก็จะก้มหน้าลงประมาณ ๑๐ องศา แต่จะหันได้รอบ ๑๘๐ องศา นั่นก็คือ เมื่อผ่านร้านค้าก็จะมองเห็นมากขึ้น มีเวลาแวะดูสินค้ามากขึ้น จับจ่ายของใช้ หรือสิ่งของที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าว่าจะซื้อในขณะนั้น รวมไปถึงการได้ปฏิสัมพันธ์กับฅนอื่นๆ ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ได้เรียนรู้กัน และนำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ได้อีกด้วย อีกทั้งเรื่องของการยกระดับจิตใจ ความคิด สุนทรียะ ต่างก็มีการเดินมาช่วยจัดระดับภายในให้กับฅนด้วยเช่นกัน ในเรื่องความเท่าเทียมกันนั้น การเดินก็สื่อถึงฅนทุกฅนต่างมีสองขาที่ใช้เดินได้เช่นกัน ต่างใช้เท้าเดินบนพื้นได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะวัยใด มีฐานะร่ำรวยหรือยากจน แต่เมื่อเดินก็ถือว่าทุกฅนเท่ากัน รวมไปถึงการเดินก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ด้วย เช่น การเดินประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิต่างๆ เมืองที่เดินได้จึงเป็นมากกว่าพื้นที่ที่ฅนมารวมกัน แต่ถูกแทนที่ด้วยใจความต่างๆ ตามบริบทของมัน การทำให้เมืองเดินได้ จึงต้องเป็นเรื่องทั้งการพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพ พื้นที่ทางสังคม และพื้นที่ทางจิตใจด้วยนั่นเองเมืองเพื่อฅน ฅนพัฒนาเมืองจากอุบัติเหตุทางถนน และบนทางเท้าในบ้านเรานั้น สื่อให้เห็นถึงการมองข้ามพฤติกรรมบางอย่างของฅนเมืองทำให้ขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสมในพฤติกรรมที่อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น เมื่อซ่อมถนน ขุดลองท่อ ก่อสร้างรถไฟฟ้า คอนโดฯ ไปจนถึงการเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็วของทางเท้า ซึ่งเหล่านี้หากได้มีการสำรวจพฤติกรรมการใช้ถนน ใช้ทางเดินเท้าก่อนก็จะทราบถึงความเหมาะสมของการจัดการแก้ไข เช่น ช่วงเวลาที่ควรทำไม่ควรทำ ปริมาณของฅนที่ใช้ มีร้านค้ามากน้อยเพียงใด มีจุดใดเป็นที่สนใจของฅนบ้างจนต้องหยุดดู หรือถ่ายรูป โดยการนำตัวอย่างข้อมูลมาวิเคราะห์ตีความเพื่อจัดการวางแผน ออกแบบ และพัฒนาเมือง การสำรวจเมืองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้ข้อมูลเหล่านี้มาการสำรวจเมืองก็เหมือนกับการทำความรู้จัก หรือการเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ การสร้างชุดคำถามเมื่อตอบโจทย์ของเมืองว่า "ทำไม (สมมติฐาน/ความสงสัย สนใจใคร่รู้) ทำอะไร แค่ไหน เมื่อไหร่ (สร้างกรอบ และระดับการสำรวจ) อย่างไร ยังไง (เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม และวางแผน) ใคร (สร้างทีม)" การเริ่มต้นด้วยการสร้างคำถามช่วยให้ทิศทางการสำรวจของเรานั้นพุ่งเป้าไปสู่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ เพราะเมื่อเริ่มถามว่า "ทำไม" มันก็จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์ให้เรา เนื่องจากมันจะช่วยให้เราได้คบคิดถึงตัวเรา และโจทย์ที่เราตั้งไว้ "ทำไมต้องเริ่มด้วยถามว่าทำไม" เพื่อจะนำไปสู่กรอบและระดับการสำรวจว่า อะไร แค่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ยังไง ใครทำบ้าง แล้วจึงตีความข้อมูลจากการสำรวจ การทำ Mapping พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเพื่อการสังเคราะห์ข้อมูลนำมาใช้ต่อนั่นเองตัวอย่างเทคนิคและเครื่องมือสำรวจเมืองCounting / Looking : เก็บข้อมูลทางสถิติ จำนวนของผู้ฅนที่ใช้พื้นที่Mapping : รวบรวมความถี่/รูปแบบ/แบบแผนของพฤติกรรมTracing : สำรวจลักษณะของผู้ฅนTracking : ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ฅนเหล่านั้นสนใจLooking : เส้นทาง/การเดินของผู้ฅนPhotographing : บันทึกจุดน่าสนใจต่างๆTest walks : ค้นหาข้อสังเกตต่างๆ เพิ่มเติมแต่สิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวังที่สุดของการสำรวจเมืองก็คือ "การไม่เหมารวม หรือคิดแทน" เพราะจะทำให้ข้อมูลที่ได้คลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ควรจะเป็น โจทย์ที่ตั้งไว้อาจจะไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง แต่กลับกลายเป็นโจทย์ของตัวเราเอง รวมทั้งจะต้องไม่บุกรุกความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น การไม่ใส่อคติของผู้วิจัยลงไป และจรรยาบรรณของการเปิดเผยข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างฅนกับพื้นที่ทำให้เมืองมีความพิเศษมากขึ้น ด้วยกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่เพราะความจำเป็น เป็นทางเลือก หรือทางสังคม ทำให้เกิดการใช้พื้นที่ขึ้น เช่น ที่เล่น การเลือกที่นั่ง (ในร้านอาหาร/ร้านกาแฟ) หรือจุดหยุด จุดแวะ จุดรวมตัวกันของผู้ฅน อย่างไทยมุงก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้ฅนและกิจกรรมของฅนเป็นที่น่าดึงดูดที่สุด ซึ่งเมื่อเมืองสามารถสนับสนุนกิจกรรมการใช้ชีวิตของฅนเมืองได้ ก็หมายความถึงเมืองที่ผู้ฅนมีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ ที่ว่าง และฅน รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ของฅนนั้นก็ล้วนแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น ดังนั้นการออกแบบเมืองจึงเป็นเหมือนกับการสื่อสารกับฅน หรือกลุ่มฅน เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ ที่มี ได้อย่างเหมาะสม เมืองจึงต้องสนับสนุนฅน และฅนก็ต้องบอกถึงความต้องการของตนให้กับผู้ที่ออกแบบเมืองได้รู้ด้วย ดังนั้นการสำรวจเมืองจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้เมืองนั้นตอบโจทย์ความต้องการของฅนเมืองนั้นๆ ได้อย่างตรงจุด ตรงวัตถุประสงค์การออกแบบเมืองให้สามารถรองรับฅนทุกฅน หรือทุกกลุ่มได้ การสำรวจเมืองจึงต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานในการพัฒนาพื้นที่ภายใต้แนวคิดอย่างน้อย ๓ อย่างด้วยกันคือ ภูมิศาสตร์เมือง สถาปัตยกรรมผังเมือง และสังคมวิทยาเมือง เพื่อที่จะสามารถเก็บข้อมูลที่สามารถช่วยในการออกแบบเมืองที่เหมาะสมได้นั่นเอง.เชิงอรรถระยะห่างทางสังคม ใกล้ชิด (๐ ถึง ๔๕ เซ็นติเมตร), ส่วนตัว (๐.๔๕ ถึง ๑.๓ เมตร), สังคม (๑.๓ ถึง ๓.๗๕ เมตร), พื้นที่สาธารณะ (มากว่า ๓.๗๕ เมตร) ทางเดินที่ฅนเดินสวนกันได้ต้องมากกว่า ๑.๕ เมตรการมองเห็นที่ฅนสามารถรับรู้ได้ดีในขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่มากกว่า ๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงข้อมูลอ้างอิง๒๕๖๒, โครงการสังเกตการณ์ชีวิตคนเมือง ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC), อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรนักสำรวจเมือง รุ่นที่ ๑ (Urban Surveyor Workshop) เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี ๖๐ พรรษา (จามจุรี ๑๐) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกภาพถ่ายโดย มอน กมล และ Morn Kamon