อื่นๆ

พี่วินมอร์ไซค์

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
พี่วินมอร์ไซค์

พวกคุณเคยเจอคนทักมั้ย ว่ามีใครอีกคนมากับคุณ ทั้งที่คุณมาคนเดียว ส่วนผม...ผมเคย….ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟัง...

วันนั้นเป็นวันที่ผมกำลังดื่มอยู่กับเพื่อนๆ ที่บาร์เล็กๆ ริมถนน มันเป็นบาร์ที่ผมกับเพื่อนๆ มากันเป็นประจำ ที่บาร์นี้มีดนตรีสดเล่นด้วยกีต้าโปร่งตัวเดียว ฟังพอเพลินๆ  พอให้พวกเราคุยกันอย่างสบายไม่หนวกหูเหมือนบาร์ใหญ่ๆ พวกผมกับเพื่อนๆ กำลังใจจดใจจ่อกับบอลพรีเมียร์วันสุดท้ายของฤดูการ แล้วลุ้นกันว่าลิเวอร์พูลหรือแมนซิตี้ใครจะเป็นแชมป์ หลังจากจบฟุตบอล สรุปแมนซิตี้ได้แชมป์ไปครอง ผมนี่เสียดายชะมัด แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะผมก็จะพูดแบบนี้ตลอด 22 ปีที่เชียร์ลิเวอร์พูลมาก็คือ “ปีหน้าว่ากันใหม่” แล้วไอ้เล็กเพื่อผมกอดคอผมแล้วก็บอกว่า “เห้ยเป็ดแดงมึงแชมป์ว่าวอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกมึงดูผีแดงกูนี่น่าอายชิบ!!!” คงไม่ต้องบรรยายว่าไอ้เล็กอายเรื่องอะไรเดี๋ยวมันจะกลายเป็นคุยเรื่องฟุตบอลกันไป จากนั้นพวกเรานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ขุดเรื่องเก่าสมัยเรียนมาอำกันเล่น จนถึงช่วง 5 ทุ่มกว่าๆ บาร์ก็เริ่มที่จะไล่เช็คบิลลูกค้า เสียงจากตนตรีสดก็เปลี่ยนเป็นดนตรีที่เปิดจากแผ่นแบบเบาๆ นักดนตรีเดินมาทักทายพวกเราว่า “กลับแล้วนะครับพี่ๆ” มันเป็นเรื่องธรรมดาของนักดนตรีกับลูกค้าประจำอย่างพวกผม และแล้วก็เป็นปรกติตามประสาคนไทยอย่างเรา พอไม่มีอะไรจะคุยเล่นกันก็ต้องเล่าเรื่องผีกัน แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อเรื่องผีมากนักหรอกเชื่อแบบ 50 50 น่ะ  ผมเป็นพวกชอบฟังมากกว่าชอบเล่า เพราะมันสนุกดี บางคน โม้ไปเรื่อยๆ เพื่อนบางคนแต่งเรื่องเพี้ยนเพี้ยน แต่ละคนสลับกันเล่าไป ด้วยที่พวกผมชอบดูหนังสยองขวัญกันมาก พวกเราเคยมีความคิดกันว่าจะรวมตัวทำหนังสั้นเรื่องผีลงในช่อง Youtube กัน แต่พอโตกันมาจริงต่างคนต่างทำงานกันหมด เวลาจะนัดรวมกันทีก็กลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว พอมาถึงช่วงเวลาเที่ยงคืนพอดี บาร์ปิดแล้ว พวกเราก็กำลังจะกลับบ้าน

Advertisement

Advertisement

พวกเราไม่มีใครเอารถมาเลยซักคน ก็เป็นเพราะว่าผมนั่นแหละ ผมพึ่งประสบอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ เพื่อนเพื่อนก็เลยกลัวกันไปด้วย บ้านผมเองก็อยู่ใกล้ที่สุดระยะทางไม่ถึง 2 กิโลเมตร จากบาร์ถึงบ้าน ผมก็เลยรอส่งเพื่อนๆ ขึ้นรถ แล้วเลือกกลับเป็นคนสุดท้าย ต่างคนต่างแยกย้ายกันนั่งแท็กซี่กัน ใช้เวลากันพอสมควรเลยแหละกว่าจะเรียกรถกันครบเพราะพวกเราไม่มีใครไปทางเดียวกันเลย พอส่งเพื่อนๆ เสร็จ ผมรอแท็กซี่อยู่นาน ไม่มีแท็กซี่สักคัน นี่มันบ้าไปแล้ว โธ่ว....ชีวิต ผมเลยตัดสินใจ “เอาวะเดินกลับก็ได้” ผมบ่นในใจ แต่ผมก็มีความหวังว่าเผื่อปากซอยบ้านจะมีมอร์เตอร์ไซวินเหลืออยู่บ้าง ผมมองไปตรงสี่แยกไฟแดง บรรยากาศณตอนนั้น มีรถที่วิ่งอยู่บนถนนไม่กี่คันแต่ละคันก็ขับกันเร็วพอสมควร เหมือนการเก็บกดจากช่วงกลางวันที่รถมันติดแน่ๆ ผมค่อนข้างเมา เมา แบบยังพอมีสติ เลยตัดสินใจที่จะข้ามสะพานลอยดีกว่า เพื่อความปลอดภัย ผมต้องขอบอกก่อนนะว่าการข้ามถนนเวลานี้มันเป็นอะไรที่อันตรายสุดๆ นี่มันเกือบจะตี 2 แล้วบนถนนก็น่าจะมีแต่คนเมา ผมนึกถึงตัวเองตอนเจออุบัติเหตุ ผมก็เคยเป็น 1 ในคนพวกนั้น ผมเดินขึ้นมาบนสะพานลอย ภาพแรกที่เห็นคือ คุณลุงนอนอยู่บนสะพานลอย มีไฟส่องลงมาที่ลุงพอดี ผมยิ้มปนแอบมีความกลัวๆ ภาพมันเหมือนไฟลที่ฟอลโล่ตามนักแสดงบนละครเวที แต่ที่กลัวคือ ถ้าผมเดินผ่านลุงแกจะลุกมาปล้นรึป่าว ผมกลั้นใจเดินผ่านลุงไปแบบระวังตัวสุดๆ ผมข้ามสะพานลอยจนมาถึงอีกฝั่ง อากาศเริ่มเย็น เย็นกว่าตอนที่ผมนั่งคุยกับเพื่อนๆ ที่บาร์ ผมเดินอยู่ริมถนนใหญ่ ที่ฝั่งตรงข้ามกับบาร์ ผมหันไปดูที่บาร์นั่นอีกครั้ง เพื่อจะมีรถแท็กซี่มาจอดบ้าง พอหันไป ผมก็เห็น...ผู้หญิงคนนึงยืนอยู่ที่หน้าบาร์ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เธออาจจะเป็นลูกค้าจากบาร์ หรือพนักงานเสริฟ ที่รอรถแท๊กซี่เหมือนกับผมก็ได้

Advertisement

Advertisement

ผมเลยหันหน้ากลับมาแล้วเดินต่อ ไฟทางที่ส่องบนถนน ยังมีแสงสว่างที่ไม่ต้องเพ่งมองอะไรมากนัก แต่มีไฟอยู่ดวงนึง ที่ติดๆ ดับๆ กระพริบแปร๊บๆ คงเป็นหลอดที่กำลังจะหมดอายุ มันเป็นเรื่องปรกติของกรุงเทพอยู่แล้วที่ต้องมีอะไรแบบนี้ ผมก็บ่นกับตัวเองว่า เห้อ....บรรยากาสมันน่ากลัวชะมัด ผมกำลังจะเดินผ่านไฟที่ที่ติดๆ ดับๆ ดวงนั้น แหม่...มันเหมือนในหนังผีเลย สำคัญเลย คือ...มันเงียบมาก... คงไม่มีอะไรโผล่ออกมาหรอกนะ ผมนึกขำในใจ แล้วไอ้ความหวังของผมที่คิดว่าจะมีมอรเตอร์ไซวินเหลือสักคัน แถวปากซอยก่อนที่จะเข้าบ้าน มันไม่มีเลยไอ้บ้าเอ้ย!!!! ผมบ่นงึมงำ แล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป ผมเดินเข้ามาในซอยแล้ว เหลือประมาน กิโลฯ กว่าๆ ก็จะถึงบ้าน อากาศยิ่งเย็นขึ้น เงียบจนได้ยินเสียงลม เสียงปีกของจิ้งรีดสีกันแบบไกลๆ สองข้างทางมีแต่ต้นกก ต้นไม้ และ ต้นหญ้า ผมก้มลงเก็บกิ่งไม้แถวๆ ข้างทางยาวประมาณ 2 ฟุตขึ้นมา เพื่อความอุ่นใจ แล้วก็เดินเรื่อยๆ ตาก็มองไปรอบๆ กลัวหมามันจะวิ่งออกมากัด อีกอย่างกลัวคน ก็มีแอบคิดอยู่บ้างว่า กลัวผี แต่ไม่อยากจะคิดมัน เหอะ...ไม่ควรจะมาคิดถึงผีอะไรตอนนี้ใช่มั้ยล่ะ ผมบ่นพึมพำในใจอีกแล้ว ผมเดินมาอีกประมาณ 10 เมตร น่าจะได้นะ กำลังจะผ่าน 4 แยก สายตาผมยังมองไปรอบๆ เผื่อจะมีตัวอะไรวิ่งออกมาจากซอยทั้งสองฝั่ง ไอ้ตาของผมก็ดันเห็นศาลไม้หลังเล็กๆ ซะนี่ เวรแล้ว น่ากลัวเข้าไปอีก ที่เห็นน่าจะเป็นศาลตายาย หรือ ไม่ก็ศาลเจ้าที่ล่ะมั้ง ที่มีพุ่มไม้บัง นี่ถ้าขับรถผ่าน หรือ นั่งมอร์เตอร์ไซวิน คงไม่มีใครสังเกตเห็นแน่ๆ แต่ผมดันเดินมาเห็น...ไง แทบสร่างเมา ตาของผมมองเข้าไปในศาล หน้าศาลมีถาดใบตองไข่ต้ม และ ก้านธูปที่มอดหมดแล้ว ผมไม่รู้จะเรียกว่าอะไรผมว่าพวกคุณคงเคยเห็น แต่...โอ้โห แม่มเอ้ย....ขนลุก ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องเป็นชู้กับผี ที่มีศาลแบบนี้เลย แล้วมีมือออกมาจากศาลหยิบไข่ต้มไปกิน นี่ผมคิดอะไรบ้าๆ อีกแล้ว ผมก็กำลังจะเดินต่อไปข้างหน้า แล้วผมก็เห็นแสงไฟที่มาจากข้างหน้าของผม

Advertisement

Advertisement

ปี๊ดๆ!!!!

โอ้ว...นี่มันเสียงสวรรค์

เสียงแตรมอรเตอร์ไซวิน


มอร์เตอร์ไซวินขับมาบีบแตรเรียก ผมทิ้งไม้แล้วโบกมืออย่างไว มอร์เตอร์ไซวินกลับรถมารับผมผมบริเวณหน้าศาลตายาย ผมขึ้นรถอย่างไว สักพักรถก็ขับออกไป แล้วมองไปที่ศาลตายายอีกครั้งแล้วกลืนน้ำลาย คิดแล้วยังรู้สึกขนลุกไม่หาย พอขึ้นรถ พี่วินแกก็ถามว่า “ทำไมกลับดึกจัง ไปเที่ยวกันมาเหรอ” “ครับ” ผมตอบ “วันนี้รถวิ่งน้อยมันมีบอลพรีเมียร์ลีค ที่เตะพร้อมกันทุกคู่ตอน 3 ทุ่ม ป่านนี้วินคงเมากันหมดแล้ว พี่ไม่ค่อยชอบดูบอลเลยบอลออกมาวิ่งหาเงินดีกว่า” พี่วินหันมาพูดแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างอารมดี แต่แหม...พี่...กลิ่นเหล้าหึ่งเลย ผมบ่นในใจ พอนั่งรถมาได้สักพักก็ถึงหน้าบ้าน ผมบอกพี่วิน “จอดตรงนี้ก็ได้ครับ” พี่วินก็จอดเลยหน้าบ้านมานิดหน่อย ผมยื่นแบงค์ร้อยให้พี่วิน ทอนเงินให้ผมมา 60 บาทแล้วบอกว่า “ตอนนี้มันดึกแล้ว 2 คนคนละ 20 บาทนะ” แล้วก็ขับรถออกไป ปล่อยให้ผมยืนแบบงงๆ ปนขนลุกอยู่หน้าบ้านคนเดียว ผมยังสงสัยว่าพี่วินเค้าพูดเล่นหรือว่าจะแกล้งอะไรผมรึป่าว แล้วผมก็ไขกุญแจ เข้าบ้าน น้ำก็ไม่อาบทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับการที่คิดว่าพี่วินคนนั้นเค้าแกล้งผมหรือ...อะไรกันแน่……

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์