เสียงดนตรีนุ่มๆ จากแผ่นเสียงไวนิลรุ่นโบราณเคล้ากับบรรยากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศรุ่นธรรมชาติ สถานที่แห่งนี้โอบกอดผู้ที่มาเยือนด้วยความสงบ ไม่คับคั่งไปด้วยผู้คนเหมือนสถานบันเทิงในมุมเมือง หากแต่เป็นจุดกำเนิดของความงดงามด้วยท่วงทำนอง สัมผัสและกลิ่นอายตำรับคลาสสิกแท้ “But I can’t help falling in love with you…” บทเพลงอมตะของนักร้องในตำนานผู้จากโลกแห่งเสียงเพลงไปเร็วนัก บรรเลงขึ้นพร้อมๆ กับการพบปะของกลุ่มชายหญิงผู้หลงรักในดนตรียุคเก่า มนต์เสน่ห์ของจังหวะที่หวานละมุนได้ซึมลึกไปถึงหัวใจของวัยรุ่นเหล่านี้ ขณะที่พวกเขาใช้โสตสัมผัสเสพความสวยงามของเสียงเพลง ก็ไม่ลืมที่จะชื่นชมรูปภาพขาวดำอัดกรอบของราชา Rock & Roll ตลอดกาล บุคคลในภาพยิ้มทักทายหนุ่มสาวทั้งสามด้วยสีหน้าอันอบอุ่น คล้ายกับว่า เรากำลังคุยภาษาเดียวกัน – ภาษาแห่งเสียงดนตรี ตำนานแห่ง Rock & Roll เริ่มมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อระบบคิดและการดำเนินชีวิตของเหล่าวัยรุ่นไทยตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่อเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพที่ไทย การหลอมรวมทางวัฒนธรรมของสองแผ่นดินนี้เองจึงทำให้คนไทยรุ่นต่อมาเริ่มถ่ายทอดความสนใจในวิถีบูกี้ วูกี้ บลูส์ ผ่านเสียงเพลงคลาสสิกตามร้านอาหารรุ่นเดอะหรือบาร์เบียร์ต่างๆ ในใจกลางกรุงเทพมหานคร “คราวนี้ขอนัดใกล้บ้านเราบ้างแล้วกัน” ฉันตอบอย่างรวดเร็วในบทสนทนากลุ่มเพื่อให้การนัดพบครั้งนี้สะดวกสำหรับเจ้ามือมากที่สุด แต่ไม่วายยืนกรานกับบุคคลปลายทางอีกสองชีวิตว่า “ที่นี่ไม่ธรรมดาแน่นอน” ตอบไปพลางเชื่อมั่นในใจว่า การท่องเที่ยวยามราตรีหนนี้จะต้องเป็นความทรงจำที่มีคุณค่ามากกว่าการสังสรรค์ทั่วไปเช่นที่เคยเป็นมา หนุ่มสาวนัดมารวมตัวกันที่บ้านด้วยความคุ้นเคย มนุษย์ธรรมดาสามคนมีเส้นทางชีวิตที่ทั้งเหมือนและต่างกัน ประการหนึ่ง คือ พวกเขาเป็นนิสิตอายุรุ่นราวเดียวกันที่ศึกษาอยู่ต่างคณะกัน อีกประการ คือ พวกเขาล้วนหลงรักในดินแดนของดนตรีเหมือนกัน เราทั้งสามพบกันและทักทายกันโดยไม่มีความหวือหวาปะปน สองคนขึ้นรถที่ฉันขับ... ขับตรงไปเรื่อยๆ และเลาะออกทางหลังหมู่บ้านสู่ถนนเลียบด่านทับช้าง ใกล้ขอบเมืองกรุงเทพฯเต็มที รถยนต์สีดำคันเล็กเคลื่อนผ่านวิวถนนในยามค่ำคืนไปช้าๆ ผ่านช่วงเวลาของความเงียบและจำนวนรถที่ไม่พลุกพล่าน มีเพียงรถบรรทุกดินขนาดใหญ่ที่วิ่งสวนผ่านในอีกเลนหนึ่ง รถเหล่านี้มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่แตกต่างกับเราสามคนโดยสิ้นเชิง ผ่านไปราว 2 กิโลเมตรก็ถึงที่หมาย ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์เปิดโล่ง มีป้ายชื่อสีสว่างหน้าร้านตั้งตระหง่าน “Hoffman Haus Grill Terrace” ฉันเลี้ยวเข้าร้านด้วยทักษะขับรถที่(เกือบ)ชำนาญ ส่วนชายหญิงผู้ติดสอยห้อยตามมาด้วยก็แสดงสีหน้ากึ่งสับสนว่าเหตุใดจุดหมายในวันนี้จึงได้สั้นนัก ผู้เดินทางทั้งสามก้าวเข้าร้านอาหารสไตล์สากล เลือกนั่งโต๊ะไม้กลางร้านที่คลุมด้วยผ้าปูลายสก็อตสีแดงสลับดำ คล้ายกับว่าทุกคนกำลังดื่มด่ำทัศนียภาพแบบชนบทที่หาได้ยากนักในแกนกลางของกรุงเทพฯ ขณะนั้นเองที่เสียงนุ่มลึกของเอลวิสกระซิบว่า “Some things are meant to be…” บทสนทนาของกลุ่มคนที่ต่างเชื่อกันว่าตนได้ใช้ชีวิตโดยมีดนตรีนำทางจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างออกรส “นานแล้วที่ร้องเพลงด้วยกัน” เบลล์ คู่ร้องเพลงประสานเสียงสมัยมัธยมปลาย เริ่มเปรยถึงชีวิตมหาวิทยาลัยที่ทำให้เธอไม่ค่อยมีเวลาสำหรับการกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง ใช่...เราทุกคนต่างมีเวลาไม่พอสำหรับการทำทุกอย่างพร้อมๆ กัน และเช่นเดียวกัน ตลอดสามปีที่ผ่านมา ฉันพยายามฟอร์มวงดนตรีอะคูสติกขึ้นอีกครั้งเพื่อแข่งขันในเวทีระดับมหาวิทยาลัย แต่โชคชะตาอาจจะโหดร้ายไปเล็กน้อยที่ทำให้ฉันพลาดหวังในชัยชนะไปถึงสามปีติด “นี่แหละชีวิตนักดนตรี จังหวะที่ไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่” มินทร์ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่ร่วมสร้างความฝันของการเป็นนักดนตรีมาด้วยกันพูดพลางถอนหายใจ แต่... “แต่แค่เข้ารอบสุดท้ายคงไม่พอ” ฉันแอบหวังลึกๆ ว่าการลงแข่งขันในอีกห้าเดือนข้างหน้าจะเป็นไปตามที่หวังไว้ ก่อนที่วงสนทนาจะสั่นคลอนด้วยอารมณ์หมอง อาหารจานเด็ดของร้านก็ได้เข้ามาเสิร์ฟอย่างทันเวลา ไส้กรอกเยอรมันรมควันชิ้นโตวางเรียงรายในจานอาหาร คู่กับซอสมัสตาร์ดรสเผ็ดพอประมาณ นักดนตรีทั้งสามคนกลายร่างเป็นเด็กน้อยชั่วขณะ วางความอ่อนไหวทั้งหมดที่มีและกรูกันจิ้มจานโปรดอย่างไม่มีใครรอใคร Frankfurter ตำรับเวียนนาถูกหั่นออกเป็นสามส่วนตามจำนวนคนทานและ Knoblauch สอดไส้กระเทียมก็ได้รับความชื่นชอบจากผู้รับประทานไม่แพ้กัน ไส้กรอกเหล่านี้มีรสชาติกลมกล่อม ให้รสมันปนเค็มในแบบที่ไม่ต้องปรุงอะไรก็อร่อยได้และจะยิ่งชูรสกว่านี้หากทานคู่กับ Erdinger ที่หมักบ่มจนละมุนลิ้น เวลาผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง นาฬิกาโทรศัพท์บอกเวลาสองทุ่ม เวลาที่แผ่นเสียงหยุดทำงานและแทนที่ด้วยวงดนตรีสดแนว “Oldie Sixties Jam” ที่คัดนักดนตรีวัยเก๋ามาถ่ายทอดความรักในเสียงเพลง ผ่านกีต้าร์โปร่ง ยอดเอกลักษณ์ของ Countryman หรือหนุ่มชนบท คุณลุงเซียนดนตรีส่งต่อความหลงใหลในบทเพลงรุ่น Elvis, Bee Gees, The Beatles และ The Carpenters ออกมาได้อย่างสวยงาม เสียง จังหวะ และทำนองที่แม้จะไม่เหมือนต้นฉบับอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กลับมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนฟังเพลิดเพลินและไม่สามารถละสายตาจากเวทีขนาดเล็กนี้ได้เลยแม้อึดใจเดียว เพลง The Young One ของ Cliff Richard โลดแล่นอยู่ในหัวของฉัน... เด็กผู้ไร้เดียงสาทั้งสามคน ได้คลายความอ่อนล้าจากสิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวันและได้ปล่อยใจให้เคลื่อนไปช้าๆ ตามจังหวะเบาๆ ของเพลง ฉันจ้องไปที่ตู้ปลาดัดแปลงจากโทรทัศน์ยุคเก่าซึ่งตั้งใกล้ประตูด้านหลังของร้าน กวาดสายตาไปที่ของตกแต่งชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ร้อยเรียงจนเป็น Haus หรือบ้านที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ร้านอาหารธรรมดา ด้านข้างของร้านใกล้ทางเดินไปห้องน้ำ มีภาพถ่ายแนว Retro เรียงรายอยู่บนผนัง ทั้งภาพนางงาม ยุคเก่า ภาพ Marilyn Monroe กระโปรงบานในตำนาน และภาพกลุ่มชายหนุ่มยุค Sixties ที่นิยมใส่กางเกงอะโกโก้กับรองเท้าส้นตึก รูปภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ฉันเข้าใจว่า บางครั้ง การใช้เวลาอยู่กับตนเองโดยไม่ต้องรีบรุดไปยังอนาคตก็เป็นความคิดที่ดีอยู่ไม่น้อย ระหว่างที่นักดนตรีพักครึ่งเวลา ฉันเล่าให้เบลล์และมินทร์ฟังว่า หลายปีก่อน ร้านนี้มีนักดนตรีและเครื่องดนตรีมากกว่านี้ “เมื่อวงการเพลงเก่าไม่ได้รุ่งเหมือนแต่ก่อน ทางร้านจึงพยายามคงความเป็น Sixties Jam ต่อไปโดยมีการ save cost ลงไปบ้าง” ผู้ร่วมโต๊ะอาหารคุยกันไปมาจนเริ่มหิวอีกครั้ง อาหารจานที่สองจึงตามมาด้วยกลิ่นหอมฉุย นอกจากไส้กรอกเยอรมันที่ตอบโจทย์ความเป็น Hoffman Haus แล้ว ขาหมูเยอรมันก็เป็นอีกหนึ่งเมนูหลักที่ทางร้านย้ำว่า “ต้องลอง” ขาหมูเยอรมันสีเหลืองทองทอดกรอบ ดูภายนอกคล้ายหมูกรอบทั่วไป แต่เมื่อลองหั่นตามแนวยาวพร้อมรับประทานตอนร้อนๆ ก็ทำให้ได้กลิ่นอายของเยอรมันชนได้เป็นอย่างดี รสชาติกรุบกรอบ หอมกำลังดี ไม่เลี่ยนน้ำมันจนเกินไป ตอบโจทย์วัยมันส์ที่ตั้งตารอจานนี้อย่างไม่มีที่ติ รสแห่งความอร่อยของอาหารได้มาบรรจบกับรสแห่งเสียงดนตรีอีกครั้งเมื่อเหล่านักดนตรีกลับขึ้นเวทีในครึ่งหลัง เพลง How Deep is Your Love ดังขึ้นกลมกลืนกับบรรยากาศยามราตรี เป็นเพลงที่เราสามคนคุ้นหู เพราะเคยร่วมกันฝึกร้อง ฝึกประสานเสียงและฝึกเล่นกีต้าร์ให้กลมกลืนกันไป “Cause we're living in a world of fools, breaking us down” บทสนทนาเรื่องความผิดหวังจากการแข่งขันดนตรีวกกลับมาอีก แต่ในครั้งนี้ ฉันกลับมีกำลังใจมากกว่าเดิม กำลังใจที่เกิดจากการพบเจอกับสิ่งที่ฉันรัก – ฉันรักดนตรีและการร้องเพลงมาก จนไม่สามารถทิ้งมันลงไปได้ แม้ตอนที่ฉันเสียใจกับการพ่ายแพ้มากที่สุด จนสัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปร้องเพลงอีกแล้ว แต่วันนี้ฉันขอคืนคำในทุกๆ อย่าง เพราะสุดท้าย ฉันได้ก้าวผ่านความกลัวที่คอยวนซ้ำในหัวว่า “ถ้าเราไม่ชนะ เราจะไม่มีทางยอมรับได้” ยิ่งเข้ายามดึก อากาศยิ่งเย็นขึ้น เราอยู่กับ The Gang คุณลุงจนถึงช่วงสุดท้ายของการแสดงสด นั่งฟังเพลงไป ดื่มน้ำไป จนรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ จึงพากันเดินไปบริเวณข้างร้าน ทางเดินไปห้องน้ำเป็นทางลดหลั่น สร้างด้วยขั้นบันไดสีส้มอิฐรูปแบบสวยเก๋ ห้องน้ำที่เกิดจากซุ้มหินปูนยังคงเต็มไปด้วยกรอบรูปยุคเก่าแก่จำนวนหนึ่ง หนึ่งในกรอบรูปที่ฉันจดจำได้จนวันนี้ คือ กรอบใส่หนังสือพิมพ์สีหม่น เป็นภาพเจ้าของร้านผู้มีความสุขกับกิจการอันเฟื่องฟูของเขา... สิบกว่าปีที่แล้ว ที่ Hoffman Haus ทั้งสองสาขาคับคั่งไปด้วยผู้คนและเต็มไปด้วยสีสันจากเสียงดนตรีที่ไม่มีวันหลับใหล จนถึงวันนี้ แม้เสียงอันครึกครื้นจะเงียบลงไปพอสมควร ฉันก็ยังเชื่อมั่นในแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของคุณอาเจ้าของร้านเสมอ เราปิดท้ายมื้ออาหารด้วย สปาเก็ตตี้ไส้กรอกเยอรมัน เมนูขนาดกลางที่แบ่งกันทานได้สองถึงสามคน น้ำซอสสีแดงรสชาติอมเปรี้ยวคลุกเคล้ากับไส้กรอกตระกูลเดิมที่คราวนี้ถูกหั่นมาอย่างพอดีคำ ทานง่าย ถูกปากและอยู่ท้องในช่วงดึก จบจากสปาเก็ตตี้แล้ว หนุ่มสาวแห่งโลกราตรีจึงตบท้ายด้วยของหวานธรรมดาๆ แต่ดับกระหายได้ฉมังนัก ไอศกรีมรสช็อคโกแล็ต ไม่เพิ่ม topping หอมหวานกลมกล่อม ทำให้อาหารมื้อนี้อิ่มทั้งกายและใจอย่างเต็มกำลัง จานอาหารสามจานวางเรียงบนโต๊ะอาหาร ภายในจานที่ไม่มีอาหารเหลืออยู่บอกถึงความเอร็ดอร่อยของผู้รับประทานโดยไม่ต้องแทรกคำบรรยายใดๆ แก้วสามใบที่มีน้ำเพียงก้นแก้วและก้อนน้ำแข็งที่ละลายจนเหลือแค่หยดน้ำจำนวนมากกองอยู่ภายนอก บอกเราทั้งสามคนว่า “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา” ฉันจำได้ว่า Return to Sender คือเพลงสุดท้ายที่ก๊วนคุณลุงเล่นในวันนั้น... เพลงชื่อดังของเพรสลี่ย์ เป็นเหมือนระฆังบอกเวลาผู้มาเยี่ยม “บ้าน” แห่งนี้ว่าต้องเตรียมตัวกลับ “บ้าน” จริงๆ ของตัวเองได้แล้ว สายสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนผู้หลงรักในความสวยงามของเสียงเพลงได้เชื่อมต่อกันจนแนบแน่นด้วยภาษาแห่งดนตรีที่ถูกซึมทราบเข้าสู่สายเลือด ผ่านช่วงเวลาที่อบอวลไปด้วยความไพเราะของเนื้อเสียงและจังหวะดนตรีที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการปรุงแต่งใดๆ ฉันและผู้ร่วมทางต่างเต็มอิ่มไปด้วยมวลแห่งความสุขใจจากการแลกเปลี่ยนความคิด – จากการผจญภัยครั้งใหม่ในสถานที่ที่ไม่ห่างไกลจากถิ่นของฉันนัก เสียงกีต้าร์ผสานกับเสียงปรบมือจากผู้คนในร้าน สร้างความอบอุ่นในหัวใจของฉัน และเช่นเดียวกัน ในห้วงจิตใจของเบลล์และมินทร์ เพื่อนรักทั้งสองคน เราต่างเข้าใจในตัวเองลึกซึ้งกว่าที่เคยเป็นมาว่าเรา “รัก” ในดนตรีขนาดไหน และเราได้ให้สัญญากันไว้ว่าเราจะ “รักษ์” ท่วงทำนองคลาสสิกเหล่านี้ไปอีกนานแสนนาน มนุษย์เดินดินสามคนลุกออกจากโต๊ะ ยิ้มตอบกลับพี่ๆ ในร้านที่มีรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยมิตรไมตรีประดับบนใบหน้า เราทุกคนกวาดสายตากว้างๆ ไปรอบบริเวณร้าน เป็นนัยว่าไม่อยากจากที่แห่งนี้ไปอีก “กลับกัน...” ฉันพูดเบาๆ กับเพื่อนและเอี้ยวตัวก่อนกลับสู่โลกแห่งความจริง นึกเศร้าเล็กน้อยที่ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน นิ่งกับตัวเองสักพักก็นึกขึ้นมาได้ว่า ที่นี่ไม่ได้ไกลจากบ้านของตัวเองเลยนี่นา ฉันมองไปที่รอยยิ้มของเอลวิสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากสถานที่อันแสนอบอุ่นแห่งนี้ คนในรูปคงกำลังบอกฉันว่า “แล้วพบกันใหม่...” หมายเหตุ: รูปภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนค่ะ